ความแตกต่างทางโครงสร้างของภาษาไทยกับภาษาอังกฤษที่มีผลต่อการแปล
คำว่า โครงสร้าง ตรงกับคำภาอังกฤษว่า structure โครงสร้างเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการเรียนรู้ภาษาหรือการใช้ภาษา
ถ้าเราไม่รู้หรือไม่เข้าใจโครงสร้างของภาษานั้น เราจะล้มเหลวในการสื่อสาร คือฟังหรืออ่านไม่เข้าใจ
และพูดหรือเขียนให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ ในการแปล ผู้แปลมักนึกถึงศัพท์
เช่นเมื่อแปลไทยเป็นอังกฤษก็พยายามค้นหาศัพท์ในภาษาอังกฤษที่เทียบเท่ากับภาษาไทย
ปัญหาที่สำคัญนั้นคือ ปัญหาทางโครงสร้าง
นักแปลผู้ใดก็ตามที่ถึงแม่จะรู้ศัพท์แต่ละคำในประโยคแต่หากไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของคำศัพท์เหล่านั้นก็มีโอกาสล้มเหลวได้
1. ชนิดของคำและประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญ
ชนิดของคำ (parts
of speech) เป็นสิ่งสำคัญในโครงสร้าง
เพราะเมื่อเราสร้างประโยคเราต้องนำคำมาเรียงร้อยกันให้เกิดความหมายที่ต้องการสื่อสารประโยคจะถูกไวยากรณ์เมื่อเราใช้ชนิดของคำตรงกับหน้าที่ทางไวยากรณ์
ประเภททางไวยากรณ์ (grammatical category) หมายถึงลักษณะสำคัญในไวยากรณ์ของภาษาใดภาษาหนึ่ง
ซึ่งมักสัมพันธ์กับชนิดของคำ เช่น บุรุษ (person) พจน์ (number)
ลิงค์ (gender) การก (case) กาล (tense) มาลา (mood) วาจก (voice)
เป็นต้น นอกจากนั้นในภาษาอังกฤษ การเลือกใช้ see หรือ saw ก็เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะภาษาจะบังคับให้ผู้พูดรู้จักเวลาของเหตุการณ์ให้ชัดเจนว่าเป้นอดีตหรือไม่ใช่อดีต
ส่วนในภาษาไทยไม่มีการบังคับ
ประเภททางไวยากรณ์ที่สำคัญสำหรับการเทียบภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ
1.1 คำนาม
เมื่อเปรียบเทียบคำนามในภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ พบว่าประเภททางไวยากรณ์ที่เป็นลักษณะสำคัญหรือลักษณะที่มีตัวบ่งชี้
1.1.1 บุรุษ (person)
บุรุษ
เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่บอกว่าคำนามที่นำมาใช้ในประโยคหมายถึงผู้พูด (บุรุษที่1)ผู้ที่ถูกพุดด้วย (บุราที่2)
หรือผู้ที่ถูกพูดถึง (บุรุษที่3)
1.1.2 พจน์ (number)
พจน์
เป็นประโยคทางไวยากรณ์ที่แบ่งบอกจำนวนว่าเป็นจำนวนเพียงหนึ่ง
หรือจำนวนมากกว่าหนึ่ง
1.1.3 การก (case)
การก
คือประเภททางไวยากรณ์ของคำนานเพื่อบ่งชี้ว่าคำนามนั้นเล่นบทบาทอะไร
คือสัมพันธ์กับคำอื่นในประโยคอย่างไร
ในภาษาอังกฤษการกของคำนามมักแสดงโดยการเรียงคำ ในภาษาไทยไม่มีการเติมหน่วยท้ายคำเพื่อแสดงการก
แต่ใช้การเรียงคำ เหมือนกบการกประธานและการกกรรมในภาษาอังกฤษ
1.1.4 นามนับได้กับนามนับไม่ได้ (countable and uncountable nouns)
การใช้ตัวกำหนด
a/an กับนามนับได้ที่เป็นเอกพจน์ และเติม-s ที่นามนับได้พหุพจน์ส่วนนามนับไม่ได้ต้องไม่ใช้ a/an และต้องไม่เติม –s ในภาษาไทย คำนามทุกคำนับได้
เพราะเรามีลักษณะนามบอกจำนวนของทุกสิ่งได้
1.1.5 ความชี้เฉพาะ (definiteness)
คือ
การแยกความแตกต่างระหว่างนามชี้เฉพาะกับนามไม่ชี้เฉพาะ เครื่องหมาย a/an ซึ่งบ่งความไม่ชี้เฉพาะ และ the ซึ่งบ่งความชี้เฉพาะ
1.2 คำกริยา
การใช้กริยาซับซ้อนกว่าคำนาม
เพรามีประเภททางไวยากรณ์ต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องหลายประเภท เช่น กาล (tense) การณ์ลักษณะ (aspect) มาลา
(mood) วาจก (voice) และการแยกความแตกต่างระหว่างกริยาแท้กับกริยาไม่แท้
1.1.1 กาล (tense)
ในภาษาอังกฤษต้องแสดงกาลเสมอว่าเป็นอดีตหรือไม่ใช่อดีต
ผู้พุดภาษาอังกฤษไม่สามารถใช้คำกริยาโดยปราศจากคำบ่งชี้กาล
1.1.2 การณ์ลักษณะ (aspect)
การณ์ลักษณะ
หมายถึงลักษณะของการกระทำหรือเหตุการณ์ ในภาษาอังกฤษการณ์ลักษณะที่สำคัญ ได้แก่
การณ์ลักษณะต่อเนื่องหรือการณ์ลักษณะดำเนินอยู่ ซึ่งแสดงโดย verb to be + present participle (-ing) และการณ์ลักษณะเสร็จสิ้น ซึ่งแสดงโดย verb to have +
past participle ในภาษาไทย เหตุการณ์ที่ต่อเนื่องหรือดำเนินอยู่แสดงด้วยคำว่า
“กำลัง” หรือ “อยู่”
หรือใช้ทั้งคู่
1.1.3 มาลา (mood)
มาลาเป็นประเภททางไวยากรณ์ที่ใช้กับคำกริยา
มีหน้าที่แสดงว่าผู้พูดมีทัศนคติต่อเหตุการณ์หรือเหตุการณ์ที่พูดอย่างไร
ในภาษาไทยคำกริยาไม่มีการแสดงมาลาแต่ในภาษาอังกฤษมี มาลาในภาษาอังกฤษแสดงโดยการเปลี่ยนรูปกริยา
หรืออาจแสดงโดยคำช่วยกริยาที่เรียกว่า modal auxiliaries ในภาษาไทย
มาลาแสดงโดยกริยาช่วยหรือวิเศษณ์เท่านั้น ไม่ได้แสดงโดยการเปลี่ยนรูปกริยา
1.1.4 วาจก (voice)
วาจก เป็นประเภททางไวยากรณ์ที่บ่งชี้ความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับการกระทำที่แสดงโดยกริยาว่าประธานเป็นผู้กระทำ(กรรตุวาจก)หรือประธานเป็นผู้ถูกกระทำ(กรรมวาจก) ในภาษาไทย คำกริยาไม่มีการเปลี่ยนรูปในตัวของมันเองเพื่อแสดงกรรตุวาจกหรือกรรมวาจก
1.1.5 กริยาแท้กับกริยาไม่แท้ (finite
vs.non-finite)
คำกริยาในภาษาอังกฤษต่างจากภาษาไทยมากในเรื่องการแยกกริยาแท้ออกจากกริยาไม่แท้
กล่าวคือในหนึ่งประโยคเดี่ยวจะมีกริยาแท้ได้เพียงคำเดียวเท่านั้น ในภาษาไทย ไม่มีความแตกต่างระหว่างกริยาแท้กับกริยาไม่แท้
กล่าวคือกริยาทุกตัวในประโยคไม่มีการแสดงรูปที่ต่างกัน
1.3 ชนิดของคำประเภทอื่น
ชนิดของคำประเภทอื่นนอกจากคำนามกับกริยาที่มีความซับซ้อนน้อยกว่านามและกริยา
และไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการแปลมากเท่านามกับกริยา
คำที่เป็นปัญหาในตัวศัพท์เองได้แก่คำบุพบท คำ adjective ในภาษาอังกฤษก็อาจมีปัญหากับคนไทย เพราะ ต้องใช้กับ verb to be เมื่อทำหน้าที่เป็นภาคแสดงของประโยค
ในภาษาไทยไม่มีโครงสร้างแบบนี้เพราะใช้กริยาทั้งหมด นอกจากนั้น adjective ที่เรียงกันหลายคำเพื่อขยายคำนามที่เป็นคำหลัก
เมื่อแปลเป็นไทยอาจมีปัญหาเพราะในภาษาไทยคำขยายอยู่หลังคำหลักตรงข้ามกับคำในภาษาอังกฤษ
ทำให้เรียงคำแบบภาษาอังกฤษไม่ได้
คำอีกประเภทที่ไม่ขนานกันระหว่างภาษาไทยกับภาอังกฤษ ได้แก่คำลงท้าย ได้แก่
คะ ครับ นะ สิ เถอะ ล่ะ แน่ะ ฯลฯ
คำเหล่านี้มีความหมายละเอียดอ่อนและในภาษาอังกฤษไม่มีคำประเภทนี้
เมื่อแปลไทยเป็นอังกฤษจะต้องใช้คำประเภทอื่นหรือรูแบบอื่นแทน
2. หน่วยสร้างที่ต่างกันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
หน่วยสร้าง หมายถึงหน่วยทางภาษาที่มีโครงสร้าง
เช่นหน่วยสร้างนามวลี หน่วยสร้างคำวาจก หน่วยสร้างคุณานุประโยค
เมื่อเปรียบเทียบหน่วยสร้างในภาษาไทยและภาอังกฤษพบว่ามีหน่วยสร้างที่แตกต่างกัน
2.1 หน่วยสร้างนามวลี :
ตัวกำหนด(Determiner)+นาม (อังกฤษ) vs. นาม(ไทย)
นามวลีในภาษาอังกฤษต้องมีคัวกำหนดอยู่หน้านามเสมอถ้าคำนามนั้นเป็นนามนับได้และเป็นเอกพจน์
นอกจากนั้นตัวกำหนดยังนำหน้านามเพื่อบ่งบอกความชี้เฉพาะของคำนาม
ในภาษาไทยไม่มีตัวกำหนด แบบ a, an, the ในภาษาอังกฤษมีแต่คำบ่งชี้
เช่น นี้ นั้น โน้น นู้น ซึ่งบ่งบอกความหมายใกล้ไกล
2.2 หน่วยสร้างนามวลี :
ส่วยขยาย+ส่วนหลัก (อังกฤษ)
vs. ส่วนหลัก + ส่วนขยาย(ไทย)
ในหน่วยสร้างนามวลี
ภาษาอังกฤษวางส่วนขยายไว้หน้าส่วนหลัก ส่วนภาษาไทยตรงกันข้าม
เวลาแปลจากอังกฤษเป็นไทย ถ้าส่วยขยายไม่ยาวเราเพียงแต่ส่วนขยายจากหน้าไปหลังก็ใช่ได้
2.3 หน่วยสร้างคำวาจก (passive constructions)
ผู้แปลไม่จำเป็นต้องจำเป็นถ่ายทอดหน่วยสร้างกรรมวาจก
ภาษาอังกฤษเป็นหน่วยสร้างคำวาจกรูปแบบเด่นชัด และมีแบบเดียว
แต่ในภาษาไทยหน่วยสร้างกรรมวาจกมีหลายรูปแบบ
2.4 หน่วยสร้างประโยค
subject (อังกฤษ) กับประโยคเน้น topic
(ไทย)
ภาษาไทยได้ชื่อว่าเป็นภาษาเน้น
topic ตรงข้ามกับภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาเน้น supject
2.5 หน่วยสร้างกริยาเรียงในภาษาไทย
หน่วยสร้างในภาษาไทยที่ไม่มีในภาษาอังกฤษและมักเป็นปัญหาในการแปล
ได้แก่หน่วยสร้างกริยาเรียง
ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยกริยาตั้งแต่สองคำขึ้นไปเรียงต่อกันโดยไม่มีอะไรกั่นกลางยกเว้นกรรมของกริยาที่มาข้างหน้า
3. สรุป
ในการแปลระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษนั้น
ลักษณะทางโครงสร้างที่แตกต่างกันและผู้แปลควรให้ความสนใจเป็นพิเศษมีดังนี้
3.1 เรื่องชนิดของคำ
ภาษาอังกฤษมีตัวกำหนด นาม
กริยา คุณศัพท์ วิเศษณ์ บุพบท ภาษาไทยมีประเภทของคำทุกประเภทเหมือนภาษาอังกฤษ
ยกเว้นคุณศัพท์
3.2 เรื่องประเภททางไวยากรณ์
สำหรับคำนาม
ภาษาไทยไม่มีการบ่งชี้ บุรุษพจน์ นับได้-นับไม่ได้
ชี้เฉพาะ แต่ภาษาอังกฤษมีการบ่งชี้ที่ชัดเจน
3.3 เรื่องหน่วยสร้างหรือรูปประโยค
นามวลี ในภาษาอังกฤษมีตัวกำหนดแบบบังคับ
แต่ในภาษาไทยมีหรือไม่มีตัวกำหนดก็ได้
การวางส่วยขยายในนามวลี
มีความแตกต่างอย่างตรงข้ามระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ
หน่วยสร้างกรรมวาจก
ภาษาอังกฤษมีรูปแบบชัดเจน แต่ในภาษาไทยมีหลายรูปแบบ
ประโยคเน้นประธานกับประโยคเน้นเรื่อง
ประโยคในภาษาอังกฤษต้องมีประธานเสมอ แต่ในภาษาไทยไม่จำเป็นต้องมี
หน่วยสร้างกริยาเรียง มีในภาษาไทยแต่ไม่มีในภาษาอังกฤษ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น