วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

มาฝึกภาษาอังกฤษผ่านเพลงกันเถอะ




มาฝึกภาษาอังกฤษผ่านเพลงกันเถอะ ! การศึกษาภาษาอังกฤษไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในตำราเรียน ห้องเรียน แต่เราสามารถเรียนรู้ได้จากทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว มาฝึกภาษาอังกฤษจากสิ่งใกล้ตัวเรา นั่นคือ เพลงสากล (เพลงภาษาอังกฤษ) นั่นเอง 

กระบวนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษนั้น เป็นกระบวนการเรียนรู้แบบค่อยเป็นค่อยไป อย่าหักโหม เพราะการหักโหมก็เสมือนเป็นการที่เราทำร้ายตัวเอง ลองคิดดูว่า ขนาดภาษาไทยเราสามารถเขียนได้ อ่านออก ก็ต้องใช้เวลา เรียนกันตั้งแต่ ก ข ค กันเลยที่เดียว ดังนั้น การเรียนภาษาอังกฤษภายใต้สภาวะแวดล้อมรอบข้างที่ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษ สนทนากับเราเลย เราก็ต้องยิ่งเพิ่มความพยายาม โดยหมั่นฝึกอย่างต่อเนื่อง ฝึกวันละนิดแต่ต้องสม่ำเสมอ ไม่ว่าเราจะฝึกด้วยตัวเอง หรือ ไปเรียนภาษาแบบเสียงเงิน แน่นอนว่า หากขาดซึ่งความตั้งใจที่แน่วแน่แล้วละก้อ อย่าไปเรียนให้มันเสียเงินเสียทองเลย เพราะมันจะไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ลงทุนไป

แนวทางหนึ่งที่จะทำให้ทุกท่านอยู่กับภาษาอังกฤษได้ทุกวัน ทุกเวลา คือ ฝึกภาษาอังกฤษผ่านเพลง ผ่านหนัง ผ่านวิดีโอ หรือสื่อมีเดียต่างๆ โดยเฉพาะการฟังเพลงจะช่วยคุณได้อย่างมาก

ฝึกภาษาอังกฤษผ่านเพลง 

การฝึกภาษาอังกฤษไม่ยากครับ ชอบเพลงไหนก็ไปหาเนื้อเพลงนั้นมาดู อ่านเนื้อเพลง อ่านคำแปลเพื่อจะได้เข้าใจความหมายของเพลงและได้ศัพท์ด้วย จากนั้นก็ฝึกร้องตาม เปิดฟังซ้ำๆ ฟังบ่อยๆ เหมือนการฟังเพลงในชีวิตประจำวันนั้นแหละครับ พยายาม ร้องตาม (ออกเสียงตาม) จนกระทั้งจะเกิดการจำเนื้อเพลงได้เอง ซึ่งเมื่อจำเนื้อเพลงได้เราจะนึกความหมายออก นี่แหละ เราจะจำคำศัพท์ได้โดยไม่ต้องท่อง ได้ทั้งศัพท์และทักษะการฟังไปพร้อมกัน ทุกอย่างจะซึมเข้าสมองเราจะจดจำเป็นแบบระยะยาวเลยละ เพียงเท่านี้ทักษะการฟังเราก็จะดีขึ้นเอง

ผมมั่นใจว่า หากเราฟังเพลงสากลทุกวัน แล้วอ่านเนื้อเพลง อ่านความหมาย เราจะมีทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ได้ศัพท์ ได้สำเนียงการพูด โดยอัตโนมัติ และเป็นการเรียนรู้ที่สนุก ไม่น่าเบื่ออีกต่างหาก ได้ผลเกินคาดแน่นอนครับ

http://musicinthai.blogspot.com/
ฝึกภาษาอังกฤษผ่านเพลง







ฟังเพลงภาษาอังกฤษ PLAY PHONE


Learning  Log นอก  12

                 กระบวนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษนั้น   เป็นกระบวนการแบค่อยเป็นค่อยไป อย่าหักโหมเพราะการหักโหมก็เสมือนการทำร้ายตัวเอง  ลองคิดดูว่า วิชาภาษาไทยเรายังสามารถเขียนได้ อ่านออก ก็ต้องใช้เวลา เรียน ก ข ค ดั้งนั้นการเรียนภาษาอังกฤษภายใต้สภาวะแวดล้อมรอบข้างมามีใครพูดภาษาอังกฤษสนทนากับเราเลย เราต้องยิ่งเพิ่มความพยายาม
โดยมั่นฝึกอย่างต่อเนื่อง  ฝึกวันล่ะนิดแต่ต้องสม่ำเสมอ  ไม่ว่าเราจะฝึกตัวเอง หรือไปเรียนภาษาแบบเสียเงิน  แน่นอน  หากขาดซึ่งความตั้งใจที่น่าแน่แล้วล่ะก็ไม่ควรไปเรียนให้เสียเงินเสียทองเพราะมันไม่เกิดประโยชน์ที่ลงทุนไป  แนวทางหนึ่งที่จะทำให้เราอยู่กับภาษาอังกฤษได้ทุกวันทุกเวลาคือ  การฝึกภาษาอังกฤษผ่านเพลง ผ่านหนัง ผ่านวิดีโอ  หรือสื่อมิเดียต่างๆ โดยเฉพาะการฟังเพลงจะช่วยเราได้อย่างมาก  วันนี้ดิฉันได้ฝึกภาษาผ่านเพลง  ชอบเพลงไหนก็ไปหาเนื้อหามาดู
อ่านเนื้อเพลง  อ่านคำแปล เพื่อจะได้เข้าใจความหมายและคำศัพท์ด้วย  จากนั้นก็ฝึกร้องตาม เปิดซ้ำๆ ฟังบ่อยๆเหมือนกับการฟังเพลงในชีวิตประจำวัน  พยายามร้องตามจนกระทั่งเกิดการจำเนื้อเพลงได้
            วันนี้ข้าพเจ้าได้ฝึกเพลง เรียนรู้จากการฟังเพลงเพลงภาษาอังกฤษ  PLAY PHONE มีเนื้อหา และความหมายดังนี้



I’m at a payphone trying to call home ฉันอยู่ที่ตู้โทรศัพท์ พยายามจะโทกลับบ้าน (โทรหาเธอ) All of my change I spent on you เวลาฉันหมดไปกับเธอ (เปรียบเทียบกับเหรียญ) Where have the times gone, baby, it’s all wrong ช่วงเวลาที่เรามีมันไปหายไปไหนกัน ที่รัก ทุกอย่างมันไม่ใช่ มันผิดไปหมด Where are the plans we made for two? สิ่งที่เรากำลังสร้างมันหายไปไหน
I’m at a payphone trying to call homeฉันอยู่ที่ตู้โทรศัพท์ พยายามจะโทกลับบ้าน (โทรหาเธอ)
All of my change I spent on youเวลาฉันหมดไปกับเธอ (เปรียบเทียบกับเหรียญ)
Where have the times gone, baby, it’s all wrongช่วงเวลาที่เรามีมันไปหายไปไหนกัน ที่รัก ทุกอย่างมันไม่ใช่ มันผิดไปหมด
Where are the plans we made for two?สิ่งที่เรากำลังสร้างมันหายไปไหน
Yeah, I, I know it’s hard to rememberใช่ ฉันรู้ว่ามันยากที่จะจำ
The people we used to be…ว่าฉันเคยเป็นใคร
It’s even harder to picture,ยากแม้จกระทั้งจะจินตนาการ
That you’re not here next to me.ว่าฉันไม่มีเธอเคียงข้างอีกต่อไป
You say it’s too late to make it,เธอบอกว่ามันสายไปที่จะหวนคืน
But is it too late to try?แต่มันสายไปหรอที่จะลองอีกสักครั้ง
And in our time that you wastedและเวลาของเราที่เธอละทิ้งมันไป
All of our bridges burned downทำให้สะพานเชื่อมสองเรานั้นพังทลาย
I’ve wasted my nights,เวลาทั้งคืนฉันหมดไปกับเธอ
You turned out the lightsและแล้วเธอก็จากไป
Now I’m paralyzed.ตอนนี้ฉันเหมือเป็นอัมภาต
Still stuck in that timeติดอยู่ในห้วงของอดีต
When we called it loveอดีตที่เราเรียกมันว่ารัก
But even the sun sets in paradiseแต่แม้นั่นจะเป็นสวรรค์ ดวงตะวันยังคงตก

I’m at a payphone trying to call homeฉันอยู่ที่ตู้โทรศัพท์ พยายามจะโทกลับบ้าน (โทรหาเธอ)
All of my change I spent on youเวลาฉันหมดไปกับเธอ (เปรียบเทียบกับเหรียญ)
Where have the times gone, baby, it’s all wrongช่วงเวลาที่เรามีมันไปหายไปไหนกัน ที่รัก ทุกอย่างมันไม่ใช่ มันผิดไปหมด
Where are the plans we made for two?สิ่งที่เรากำลังสร้างมันหายไปไหน
If “Happy Ever After” did exist,หากว่า สุขชั่วนิรันดร์มีอยู่จริง
I would still be holding you like thisฉันคงยังโอบกอดเธออยู่
All those fairy tales are full of shitแต่เรื่องเทพนิยาย (แฟรี่เทล) เหล่านี่มันช่างไร้สาระ
All those fairy tales are full of it.ใช่ มันช่างไร้สาระ
One more fucking love song, I’ll be sick.แม้เพลงรักน้ำเน่าสักเพลง ฉันเอือมระอา
One more stupid love song, I’ll be sickเพลงรักน้ำเน่า ฉันเอือมระอา
Oh, you turned your back on tomorrowเธอหันหลังให้กับวันพรุ่งนี้
‘Cause you forgot yesterday.เพราะเธอลืมวันวาน
I gave you my love to borrow,รักที่ฉันให้เธอหยิบยืม (หวังที่จะได้รักคืน)
But you just gave it away.แต่เธอกลับกลับไม่มอบรักคืน
You can’t expect me to be fine,เธออย่าได้คิดว่าฉันไม่เป็นไร
I don’t expect you to careฉันไม่ต้องการความห่วงใย
I know I’ve said it beforeฉันรู้ว่าฉันเคยบอก
But all of our bridges burned down.แต่สะพานเรามันได้พังทลาย
I’ve wasted my nights,เวลาทั้งคืนฉันหมดไปกับเธอ
You turned out the lightsและแล้วเธอก็จากไป
Now I’m paralyzed.ตอนนี้ฉันเหมือเป็นอัมภาต
Still stuck in that timeติดอยู่ในห้วงของอดีต
When we called it loveอดีตที่เราเรียกมันว่ารัก
But even the sun sets in paradise.แต่แม้นั่นจะเป็นสวรรค์ ดวงตะวันยังคงตก
I’m at a payphone trying to call homeฉันอยู่ที่ตู้โทรศัพท์ พยายามจะโทกลับบ้าน (โทรหาเธอ)
All of my change I spent on youเวลาฉันหมดไปกับเธอ (เปรียบเทียบกับเหรียญ)
Where have the times gone, baby, it’s all wrongช่วงเวลาที่เรามีมันไปหายไปไหนกัน ที่รัก ทุกอย่างมันไม่ใช่ มันผิดไปหมดWhere are the plans we made for two?สิ่งที่เรากำลังสร้างมันหายไปไหน
If “Happy Ever After” did exist,หากว่า สุขชั่วนิรันดร์มีอยู่จริง
I would still be holding you like thisฉันคงยังโอบกอดเธออยู่
All those fairy tales are full of shitแต่เรื่งอเทพนิยาย (แฟรี่เทล) เหล่านี่มันช่างไร้สาระ
All those fairy tales are full of it.ใช่ มันช่างไร้สาระOne more fucking love song, I’ll be sickแม้เพลงรักน้ำเน่าสักเพลง ฉันเอือมระอาOne more stupid love song, I’ll be sickเพลงรักน้ำเน่า ฉันเอือมระอา
Now I’m at a payphoneตอนนี้ฉันเหมือเป็นอัมภาต
Yeah, yeah, now baby don’t hang up,ได้โปรดอย่าวางสาย
So I can tell you what you need to know,ฉันจะบอกเธอในสิ่งที่เธอควรรับรู้
Baby I’m begging you just please don’t go,ที่รัก ฉันข้อร้องเธออย่าทิ้งฉันไป
So I can tell you what you need to knowฉันจะบอกเธอในสิ่งที่เธอควรรับรู้
(Wiz Khalifa):
Man, fuck that shitI’ll be out spending all this moneyWhile you’re sitting round wonderingWhy it wasn’t you who came up from nothing,Made it from the bottomNow when you see me I’m stunning,
And all of my cars start with a push of a buttonTelling me the chances I blew up   Or whatever you call it, Switch the number to my phone  So you never could call it,  Don’t need my name on my shirt,
You can tell it I’m ballin.   Swish, what a shame could have got picked      Had a really good game but you missed your last shot       So you talk about who you see at the top      Or what you could have saw but sad to say it’s over for.     Phantom pulled up valet open doors     Wiz like go away, got what you was looking for     Now it’s me who they want, so you can go and take         That little piece of shit with you.
I’m at a payphone trying to call homeฉันอยู่ที่ตู้โทรศัพท์ พยายามจะโทกลับบ้าน (โทรหาเธอ)
All of my change I spent on youเวลาฉันหมดไปกับเธอ (เปรียบเทียบกับเหรียญ)
Where have the times gone, baby, it’s all wrongช่วงเวลาที่เรามีมันไปหายไปไหนกัน ที่รัก ทุกอย่างมันไม่ใช่ มันผิดไปหมด
Where are the plans we made for two?สิ่งที่เรากำลังสร้างมันหายไปไหน
If “Happy Ever After” did exist,หากว่า สุขชั่วนิรันดร์มีอยู่จริง
I would still be holding you like thisฉันคงยังโอบกอดเธออยู่
All those fairy tales are full of shitแต่เรื่องเทพนิยาย (แฟรี่เทล) เหล่านี่มันช่างไร้สาระ
All those fairy tales are full of it.ใช่ มันช่างไร้สาระ
One more fucking love song, I’ll be sick.แม้เพลงรักน้ำเน่าสักเพลง ฉันเอือมระอา
One more stupid love song, I’ll be sickเพลงรักน้ำเน่า ฉันเอือมระอา
                จากเพลง ได้คำศัพท์ใหม่สำหรับดิฉัน แรกคือ  harder  หมายถึง ยาก   brideหมายถึง สะพาน  เชื่อม   burnหมายถึง  เผา  paralyzed  หมายถึง อัมพาต stuck หมายถึงแทง  ไม้เท้า  fairyหมายถึงนางฟ้า  talesหมายถึง นิทาน   fuck  หมายถึง ระยำ  เบื่อหน่าย  sick หมายถึงขยะแขยง น้ำเน่า   expectหมายถึง  คาดว่า  payphoneหมายถึงตู้โทรศัพท์สาธารณะแบบหยอดเหรียญ
                หลังจากนั้นดิฉันได้วิเคราะห์ประโยคว่าแต่ล่ะประโยคอยู่ใน Tense ไหนกันบ้าง I’m at a payphone trying to call home  เป็น present continuous  tense   
Where have the times gone, baby, it’s all wrong  present perfect   tense        I spent on you     present simple tense              And in our time that you wasted   part simple tense                        
I’ve wasted my nights   present perfect             You turned out the light    part simple tense                    Now I’m paralyzed passive ที่เป็น present simple tense      When we called it love  part simple tense        
     
I gave you my love to borrow  part simple tense        
But even the sun sets in paradise    presentt simple tense        
                จากการฟังเพลงแค่เพลงเดียวทำให้เรารู้ทั้งความหมายและรู้คำศัพท์เพิ่ม สามารถนำประโยคในเพลงมาวิเคราะห์เป็น  Tense อะไรฝึกความเข้าใจโครงสร้างของTense รวมทั้งได้คำศัพท์ใหม่ๆด้วยโดยไม่ต้องท่องได้ทั้งศัพท์และทักษะการฟังไปพร้อมๆกัน  ทุกอย่างจะซึมเข้าสมองเราจะจดจำเป็นแบบระยะยาวเพียงพอการฟังเพลง ดิฉันมั่นใจหาดเราฟังเพลงสากลทุกวัน แล้วอ่านเนื้อเพลง อ่านความหมายเราจะมีทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ได้ศัพท์ ได้สำเนียง การพูดโดยอัตโนมัติ  และเป็นการเรียนรู้ที่สนุกไม่น่าเบื่ออีกต่างหาก









“อยากพูดอังกฤษให้เก่งต้องหัดพูด"




“อยากพูดอังกฤษให้เก่งต้องหัดพูด"
 แต่จะหัดพูดอย่างไรให้ได้ผล? หลายคนยังหาคำตอบไม่เจอว่าที่ผ่านมาฝึกกันอย่างถูกวิธีหรือยัง เพราะส่วนใหญ่คนที่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง มักประสบปัญหาคล้ายๆ กัน คือ เวลาที่ฝรั่งถามมา จะตอบได้แค่เพียงประโยคสั้นๆ อยากพูดยาวๆ แต่ก็พูดไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าภาษาไทยต้องตอบยังไง อยากจะพูดใจแทบขาด แต่ก็ตอบได้แบบตะกุก..ตะกัก ถามคำตอบคำ มันทำให้เราขาดความมั่นใจ ทั้งที่เราเก่งศัพท์ ท่องหลักไวยากรณ์มาแล้วเป็นเวลาหลายสิบปี แต่ก็ยังพูดไม่ได้อยู่ดีต้องทำยังไง? วันนี้ Life on campus มีสูตรเด็ดเคล็ดไม่ลับพูดอังกฤษอย่างไรให้ไฟแลบมาฝาก ไม่ต้องอ่า..ไม่ต้องเอ่อ..กันให้เสียเวลาไปฝึกพร้อมๆ กันเลย

      
       1. อย่ากลัวความผิดพลาดและกังวลกับหลักไวยากรณ์มากเกินไป
      
        ปัญหาใหญ่สำหรับคนที่กำลังหัดพูดภาษาอังกฤษ ที่ฝรั่งมักจะเรียกว่าเป็นอาการ “mental blocks” คือมีบางสิ่งในจิตใจที่ขัดขวางทำให้ไม่สามารถเข้าใจหรือทำอะไรบางอย่างได้ กลัวว่าจะพูดผิด อายถ้าพูดประโยคภาษาอังกฤษได้ไม่สมบูรณ์แบบและไม่ถูกต้องเป๊ะๆ ตามหลักไวยากรณ์ ที่ท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง ความกังวลเหล่านั้นจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดและพูดไม่ได้สักที จำเอาไว้ว่า “การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าความสมบูรณ์แบบ”
       
        ลองนึกภาพ คนๆ หนึ่งพูดว่า “Yesterday I go to party in beach.” ซึ่งประโยคนี้ผิดหลักไวยากรณ์แน่ๆ ที่ถูกต้องคือ “Yesterday I went to a party on the beach.” แต่ทั้งสองประโยคกลับสื่อสารได้ความเดียวกันว่า “เมื่อวานฉันไปปาร์ตี้ที่ชายหาดมา” ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งร้ายแรง ก็แค่ลองใหม่แก้ไขไปเรื่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ อย่าอายถ้ามันจะผิดพลาดหรือไม่ถูกหลักไวยากรณ์นัก เพราะการสื่อสารให้เข้าใจกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจำไว้
      
       2. เริ่มต้นจากการฟัง
      
        อยากพูดภาษาอังกฤษให้คล่องเราต้องเริ่มฟังกันก่อน ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนาภาษาอังกฤษ หรือจะดูหนัง ฟังเพลง เลือกแบบที่เราชอบได้เลย สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลยควรเริ่มจากการฟังบทสนทนาง่ายๆ ก่อน จะช่วยให้เราคุ้นเคยกับสำเนียงของเจ้าของภาษา และยังได้เรียนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการพูดทั่วๆ ไปด้วย ต่างจากการดูหนัง หรือฟังเพลงภาษาอังกฤษ เพราะอาจจะมีการใช้คำยากๆ ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานมาดีพอ แทนที่จะได้ฝึกการฟังกลับต้องมาคอยเปิด Dictionary ตีความหมายแทน
      
        เคล็ดลับในการฟังให้ได้ผลก็คือ “ฟังอย่างเข้าใจ และฟังอย่างต่อเนื่อง” เข้าใจคือเลือกฟังอะไรที่ง่ายไม่ยากเกินไป อย่างเช่น ข่าวภาษาอังกฤษที่ทั้งยากและเร็ว ฟังกี่ปีกี่ชาติก็ไม่มีวันเข้าใจ ฟังมากแค่ไหนก็ไม่ช่วยอะไร ดังนั้นเลือกง่ายๆ เข้าไว้แล้วค่อยพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จะดีกว่า และฟังอย่างต่อเนื่อง วันละ 1-2 ชั่วโมง สามารถแบ่งเป็นเช้า 20 นาที เที่ยง 20 นาที และเย็นอีก 20 นาที ก็ได้ ตามสะดวกแต่เน้นว่าต้องฟังทุกวัน ห้ามวันเว้นวันโดยเด็ดขาด แล้วคุณจะเห็นผลที่ตามมาในมีกี่สัปดาห์ คอนเฟิร์ม!!!
      
       3. ฟังแล้วตอบ
      
        การฟังเพื่อให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษได้มีประสิทธิภาพและสามารถโต้ตอบได้ ไม่ใช่ฟังซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง เพื่อให้จำเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการ “ฟังและตอบคำถาม” ในขั้นตอนแรกของการฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ดี นั่นคือ การฟังจากบทสนทนาภาษาอังกฤษง่ายๆ เมื่อเราฟังแล้ว ลอง “Pause” ในช่วงของคำตอบ แล้วฝึกตอบอย่างรวดเร็ว จากคำถามที่เราฟัง ฝึกให้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องคิด ภาษาอังกฤษของคุณก็จะกลายเป็นระบบอัตโนมัติไปโดยปริยาย หรือลองฝึกด้วยการหาติวเตอร์ชาวต่างชาติมาช่วยเล่าเรื่องราวสักหนึ่งเรื่อง เริ่มจากง่ายๆ ก่อน เมื่อเล่าจบให้เขาลองถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่เล่าให้ฟัง จะทำให้คุณคิดคำตอบได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
      
       4. เรียนรู้เป็นภาพ ไม่ใช่ตัวอักษร
      
        ก่อนที่จะพูดภาษาอังกฤษได้ต้องมีการซ้อม การเตรียมความพร้อม ต้องถามตัวเองก่อนว่ามีคลังคำศัพท์มากพอหรือยัง? เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถสื่อสารหรือพูดภาษาอังกฤษได้นั้นเพราะเราไม่รู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเลยไม่รู้ว่าจะตอบฝรั่งชาวต่างชาติได้อย่างไร ท่องจำกันตั้งแต่เล็กจนโตก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ถึงเวลาจริงก็นึกไม่ออกไม่รู้จะหยิบคำไหนมาใช้ ดังนั้น ต่อไปนี้เราต้องมาเรียนรู้และจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษในรูปแบบใหม่ “เลิกท่องศัพท์ ถ้าอยากพูดภาษาอังกฤษได้” เอ๊ะ...ยังไง!!!
      
        ต้องเลิกท่องคำศัพท์เป็นคำๆ ท่อง 1,000 คำ ก็จำไม่ได้เชื่อเถอะ ลองหันมาใช้วิธีการเรียนรู้คำศัพท์เป็นภาพ และเรื่องราวแทนการจดคำศัพท์เป็นลิสต์ยาวๆ พร้อมคำแปล แล้วนั่งท่องนอนท่อง วิธีนั้นลืมไปได้เลย ลองเปลี่ยนมาเป็นการเรียนรู้คำศัพท์แบบเป็นวลี ไม่จำเป็นคำๆ เวลาที่เจอคำศัพท์ใหม่ๆ ให้จดลงในสมุดโน้ต พร้อมกับวลีสั้นๆ จะทำให้การพูดและหลักไวยากรณ์ของคุณดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
10 เทคนิควิธีพูดอังกฤษให้ไหลลื่น..สำเนียงเลิศ
        5. หยุดท่องหลักไวยากรณ์
       
        เด็กไทยส่วนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษมาพร้อมๆ กับการเริ่มท่องกฎไวยากรณ์ “S. + V.to be + V.เติม ing” เป็น Present Continuous Tense ท่องๆ ไปเรื่อยๆ พร้อมกับคำศัพท์รูปกริยาที่เปลี่ยน ช่อง 1, 2, 3 ถ้าเริ่มต้นด้วยวิธีท่องหลักไวยากรณ์แล้ว 60 เปอร์เซนต์ จะคุยกับฝรั่งไม่ได้เลย อีก 30 เปอร์เซนต์ จะแค่พอพูดได้แบบตะกุกตะกัก ซึ่งมีเพียง 10 เปอร์เซนต์เท่านั้น ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว สำเนียงเป๊ะ เด็กอเมริกันแท้ๆ ไม่เคยต้องเรียนGrammar จนกระทั่งถึงมัธยม บางคนเพิ่งมาเริ่มเรียน Present Tense ตอนอายุ 15-16 ปีแล้ว ด้วยซ้ำ
      
        ถ้าจะฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ได้ต้องหยุดท่องหลักไวยากรณ์ เพราะนั่นเป็นวิธีที่ผิด เด็กๆ ชาวต่างชาติจะพูดภาษาอังกฤษจากการเรียนรู้เองโดยธรรมชาติ จากการฟัง สังเกตและเลียนเสียงพูดจนคล่องก่อนจะเริ่มเรียนหลักไวยากรณ์ เหมือนเด็กไทยที่เรียนรู้และพูดคำว่า “แม่” จากการฟังและฝึกออกเสียง แล้วค่อยมาเรียนรู้วิธีการผสมคำในภายหลังนั่นเอง จริงๆ แล้วก็ใช้หลักในการเรียนรู้ภาษาเหมือนกันทั่วโลก 
      
       6. เรียนรู้แบบช้าๆ แต่ลึกซึ้ง
      
        เคล็ดลับที่จะทำให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้อย่างง่ายดายนั่นก็คือ การเรียนรู้ทุกคำ และทุกวลีอย่างลึก (Deeply) ไม่ใช่แค่เรียนรู้ความหมาย ไม่ใช่แค่จำเพื่อไปทำข้อสอบ แต่คุณจะต้องเรียนรู้มันอย่างลึกซึ้ง ลึกลงไปในสมอง การพูดภาษาอังกฤษให้ได้ง่ายคุณต้องทำซ้ำหลายๆ ครั้ง ในแต่ละบทเรียน ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีหนังสือบทสนทนาภาษาอังกฤษ 1 เล่ม ในบทแรกให้ฟัง 30 ครั้ง ก่อนที่จะผ่านไปบทที่ 2 โดยสามารถแบ่งเป็น 3 ครั้งในแต่ละวัน ให้ทำแบบนี้ไปจนครบ 10 วัน ต่อหนึ่งบท อย่าเพิ่งท้อ ท่องไว้ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ฟังจนฝังลึกลงไปในสมอง ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากจนเกินไปขอเพียงตั้งใจจริง
      
       7. อย่าแปลเป็นไทย
      
        สาเหตุที่คนไทยส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้แม้ว่าอาจจะฟังออกก็ถาม นั่นก็คือ การแปลประโยคต่างๆ เป็นภาษาไทยก่อนตอบ ซึ่งการพูดได้อย่างเป็นอัตโนมัติคือ ฟัง-คิด-พูด ต้องเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด โดยไม่มีการแปลเป็นไทยในหัว เพราะฉะนั้น เราควรพยายามแปลเป็นไทยให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ระบบที่คนไทยส่วนใหญ่คิดคือ ฟังภาษาอังกฤษเข้าหูปุ๊บมาแปลเป็นไทย คิดคำตอบภาษาไทย แล้วแปลตอบออกไปเป็นภาษาอังกฤษอีกที ซึ่งกว่าจะหลุดคำตอบออกมาได้ต้องผ่านขั้นตอนหลายอย่าง ผลคือพูดออกมาแบบตะกุกตะกัก ไม่ไหลลื่นและเป็นธรรมชาติ วิธีการเรียนภาษาที่ถูกต้องก็คือ ต้องพยายามแปลให้น้อยที่สุดหรือไม่แปลเลยได้ยิ่งดี เน้นความเข้าใจความหมายเป็นภาพของมันจริงๆ 
10 เทคนิควิธีพูดอังกฤษให้ไหลลื่น..สำเนียงเลิศ
        8. เรียนรู้ที่จะคิดให้เป็นภาษาอังกฤษ
       
        หนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้นั่นก็คือ “การคิดให้เป็นภาษาอังกฤษ” อีกหนึ่งวิธีที่ดีที่สุดที่ในการเรียนรู้ และจะทำให้คุณพูดได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องอายถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมา เพราะไม่มีใครรู้!!!! โดยคุณสามารถทำตามกระบวนการและขั้นตอนได้ ดังนี้ 
        
       Level 1 : คิดคำศัพท์ภาษาอังกฤษในแต่ละวันของคุณ 
      
       เมื่อคุณตื่นขึ้นมาในตอนเช้าให้คิดคำศัพท์ขึ้นมา 1 ชุด เช่น
      
        bed, toothbrush, bathroom, eat, banana, coffee, clothes, shoes 
      
       หรือถ้าคุณกำลังนั่งทำงานอยู่ก็คิดถึงคำศัพท์ขึ้นมาอีก 1 ชุด 
      
       car, job, company, desk, computer, paper, pencil, colleague, boss 
      
       Level 2 : ลองเอาคำศัพท์มาแต่งให้เป็นประโยค 
      
       เมื่อคุณกำลังนั่งกินอาหารกลางวันอยู่ คิด…
      
       • I’m eating a sandwich.
       • My friend is drinking soda.
       • This restaurant is very good.
      
       ขณะที่คุณกำลังนั่งดูทีวีอยู่ คิด…
      
       • That actress is beautiful.
       • The journalist has black hair.
       • He’s talking about politics.
      
       Level 3 : สุดท้ายจินตนาการประโยคภาษาอังกฤษทั้งหมดให้เป็นเรื่องราวขึ้นมาในหัวของคุณ โดยให้คิดเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เช่นในขณะที่คุณออกกำลังกาย หรือกำลังรอรถไฟฟ้า รถเมล์ ให้ลองนึกบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ บอกเล่าเรื่องราวในหัวคุณให้เป็นภาษาอังกฤษ คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย เพราะนี่เป็นเพียงความคิด ยังไม่ได้พูดจริงๆ 
      
       9. พูดด้วยคำศัพท์ที่แตกต่าง ดูดีมีความคิดสร้างสรรค์
      
        สองอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้การพูดภาษาอังกฤษดูไม่คล่องแคล่วมั่นใจ นั่นก็คือ “ไม่รู้ศัพท์ และ การหยุดหรือลังเล” ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มักมาพร้อมกันเสมอ หลายครั้งที่คุณพูดภาษาอังกฤษแต่นึกคำศัพท์ไม่ออก นั่นก็เป็นอุปสรรคหนึ่งที่ทำให้เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เออๆ อ่าๆ...เพราะมัวแต่คิดถึงคำศัพท์ที่เคยท่องไว้ คราวนี้เราลองมาเปลี่ยนวิธีใหม่ ถ้านึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร ลองหาคำอื่นมาอธิบายขยายความเอาก็ได้ 
      
        ถ้าคุณจะบอกว่า “หัวหอม” ภาษาอังกฤษคือ “onion” แต่นึกคำศัพท์ไม่ออกก็ให้อธิบายไปว่า “the white vegetable that when you cut it you cry” นี่เป็นคำบรรยายที่เข้าใจได้ ว่าสิ่งที่คุณกำลังจะสื่อสารหมายถึงอะไร รวมไปถึงคำศัพท์อื่นๆ ที่จะใช้แทนกันได้ในภาษาอังกฤษ เช่น การกล่าวทักทาย ที่นอกจาก “hello” แล้วมีคำว่าอะไรบ้าง หรือการกล่าวลา วลีของการล่ำลาในภาษาอังกฤษนั้นก็มีมากมายหลายสถานการณ์ด้วยกัน 
      
       10. ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
      
        เปลี่ยนสภาพแวดล้อมของคุณให้เต็มไปด้วยภาษาอังกฤษ ถือเป็นการฝึกฝนไปในตัว แต่ถ้าจะให้ง่ายและรวดเร็วที่สุดนั่นก็คือ “พยายามหาเพื่อนที่เป็นชาวต่างชาติ” นอกจากจะได้เพื่อนแล้ว เรายังได้ฝึกภาษาด้วย ที่สำคัญเพื่อนชาวต่างชาตินี่แหละที่จะช่วยคุณแก้ไขคำผิด ทั้งคำศัพท์ รูปประโยคและหลักไวยากรณ์ต่างๆ ให้คุณได้ พยายามหาเพื่อนฝรั่งคุยแชทบ้าง คุย Skype บ้าง เพื่อเป็นการฝึกภาษาและฟังสำเนียงที่ถูกต้องนั่นเอง
      
        แนะนำให้ใช้ภาษาอังกฤษทุกวันๆ ละ 10 นาที และจะดีมากๆ ถ้าคุณใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า 1 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ แม้ว่าคุณจะไม่ได้อยู่ในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ แต่ก็ยังมีวิธีอีกมากมายที่จะทำให้ภาษาอังกฤษมีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันของคุณ เช่น ฟังภาษาอังกฤษในขณะที่คุณกำลังขับรถไปทำงาน, อ่านข่าวหรือฟังข่าวออนไลน์เป็นภาษาอังกฤษแทนภาษาไทย, ฝึกการคิดเป็นภาษาอังกฤษในขณะที่คุณกำลังทำงานบ้านหรือออกกำลังกาย, อ่านบทความ ฟังพอดคาสต์ หรือดูวิดีโอภาษาอังกฤษในแบบที่คุณชอบ เป็นต้น
      
       ที่มา : 
       www.espressoenglish.net/how-to-speak-fluent-english-top-10-tips
       www.mindenglish.net

ทักษะพัฒนาการอ่านและจำ


Learing  log  9 ( นอกห้องเรียน )

ในปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านการคมนาคม  การสื่อสาร  เทคโนโลยีและวิทยาการต่างๆเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก  รวดเร็ว  และครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของโลก  ซึ่งการติดต่อสื่อสารนั้นจำเป็นต้องมีภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารความหมาย  ถ่ายทอดความคิด  ความรู้สึก  ภาษาที่นิยมและได้รับการยอมรับว่าเป็นภาษาสากลที่ใช้ติดสื่อสารกันทั่วโลก  คือ  ภาษาอังกฤษ  บทบาทและหน้าที่ของภาษาอังกฤษเด่นชัดขึ้นในทางการศึกษา  ทางการบริหารและสังคม  ภาษาอังกฤษมีสถานภาพเป็นภาษาสากล  ความต้องการสื่อสารระหว่างประเทศ  ระหว่างชุมชน  ความต้องการในการเรียนรู้ความก้าวหน้าทาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  และความต้องการในระดับนานาชาติ
ทำให้ภาษาอังกฤษมีความจำเป็นในสังคมยุคใหม่  สังคมไทยก็เช่นกัน  ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแห่งเทคโนโลยี  มีความสำคัญต่อการศึกษาและการทำงาน  ผู้ที่มีความรู้ทางภาษาอังกฤษย่อมได้เปรียบในการติดต่อสื่อสาร  การติดตามข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ด้านการศึกษา  และการประกอบอาชีพ  เพราะสามารถเข้าใจความรู้สึกนึกคิด  ทัศนคติ  และวัฒนธรรมของชนชาติอื่น ๆ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก  ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ ๆ การเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาต่างประเทศในประเทศไทย  นับเป็นสิ่งยากที่ผู้เรียนต้องฝึกเพื่อให้เกิดทักษะทางภาษา  เพราะเมื่ออยู่นอกชั้นเรียนแล้วผู้เรียนจะไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเท่าที่ควร  อย่างไรก็ตาม  วิธีการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศในปัจจุบันเน้นให้ผู้เรียนมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ  เพื่อการสื่อความหมายและความคิด
ฉะนั้นต้องสร้างทักษะภาษาอังกฤษนอกชั้นเรียนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองได้อย่างสมบูรณ์  การอ่านเป็นทักษะสำคัญในการพัฒนาให้เราเก่งในวิชาภาษาอังกฤษ  การอ่านภาษาอังกฤษทำให้เราพัฒนาไปเรื่อย ๆ สิ่งที่ดีที่สุดในการทำให้เราเก่งภาษาอังกฤษ  คือ  การอ่านบทความหรืออะไรก็ได้เป็นภาษาอังกฤษ  อ่านบทความที่ไม่ยากเกินไปก่อนสำหรับในการฝึกหัดอ่านภาษาอังกฤษแรก ๆ  วันนี้ข้าพเจ้าได้อ่านบทความภาษาอังกฤษซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ  เนื้อความมีความหมายประมาณว่า  เสาวรสผลไม้พื้นเมืองของทวีปอเมริกาใต้มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ  เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจกับการที่ทุกคนกินผลไม้รสหวานและมีกลิ่นหอม  เสาวรสเป็นอาหารหลักของชนชาติอินเดียแดงและครั้งหนึ่งมิชชันนารีสเปนจัดวางดอกไม้ของเสาวรส  พวกเขาตั้งชื่อมัน  พวกเขาบอกว่าดอกคล้ายมงกุฎหนามบนหัวของพระคริสต์ในระหว่างการตรึงกางเขน
เสาวรสมีกลิ่นหอมมากมีทั้งสีเหลือง  ม่วง  ผิวของเสาวรสย่น  เมล็ดของมันมีประโยชน์มากมาย  เมล็ดเสาวรสเป็นแหล่งที่ดีของเส้นใยที่ร่างกายต้องการในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่  ปรับสภาพการย่อยอาหาร  และช่วยป้องกันโรคหัวใจ  และการอุดตันของเส้นโลหิต  รวมทั้งไฟเบอร์ช่วยในการย่อยอาหาร  ช่วยป้องกันการพัฒนาของมะเร็งลำไส้ใหญ่  กระบวนการที่คล้ายกันเกิดขึ้นในวาล์วของหัวใจ  โดยเส้นใยวูบวาบจากการสะสมของไขมันและคอเลสเตอรอล  ปกป้องร่างกาย  ต่อต้านโรคหัวใจ  เสาวรสมีประโยชน์ผู้ที่กินมันจะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินเอและวิตามีนซีช่วยให้ร่างกายลบอนุมูลอิสระที่ทำให้ผิวเสียหาย  มันช่วยปรับสภาพผิว  รวมทั้งวิตามีนซีจะซ่อมเนื้อเยื่อช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็ง  ช่วยให้กระดูกแข็งแรง
ปี  20008  มีอาสาสมัครมาศึกษาสารสกัดจากเสาวรสและผู้ทนทุกข์ทรมานจากโรคหืด  ได้รับการผ่อนคลายจากอาการไอและหายใจลำบาก  โดยร้อยละ  76  มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่พบในเสารส  เชื่อว่าป้องกันการแพ้และอักเสบ  สารต่อต้านอนุมูลอิสระและ  flavonoid  ค้นพบในเสารส  โดยนักวิจัยบางคนที่มหาลัยฟลอริด้าที่จะยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง  เสาวรสสามารถพบได้ในตลาดยืนที่ใดก็ได้  ดังนั้นหากคุณต้องเก็บเกี่ยวผลของประโยชน์ของเสาวรส  คุณต้องเลือกบางที่ที่ซุปเปอร์มาเก็ตท้องถิ่นของคุณ
หลังจากที่แปลได้แล้วอาจจะแปลผิดและแปลไม่ดีสักเท่าไร  แต่เราก็ยังได้อ่านฝึกทักษะการอ่าน  โดยการอ่านครั้งนี้ข้าพเจ้าได้รู้คำศัพท์ใหม่  คือ  Blossom  หมายถึง  ดอกไม้  ( n. )  พัฒนา  ( v. )  ,  Crucifixion  การฆ่าโดยการตรึงกางเขน  ( n. )  ,  Vomatic  ที่มีกลิ่นหอม  (Adj.,  Purple  สีม่วง  ( Adj.Wrinkly  ซึ่งมีรอยเหี่ยวย่น  ( Adj. )  ,  Pulp  เนื้อของผลไม้  ( n. ,  Seed  เมล็ด ( v. ,  Prevent  ขัดขวาง ( v.Disturbance การรบกวน ( n. )  ,  Digeston  การย่อยอาหาร  ( n. ,  Digest  ย่อยอาหาร ( v. ,  Protect  ป้องกัน ( v.Against  ต่อต้าน  ,  ปกป้องจาก  ( Prep,  Disease  ปัญหา  โรคภัยไข้เจ็บ  ( n. Idical  โดยรายฐาน  ทั่วถึง ( n. Asthina  โรคหืด  ( n. )  ,    Researcher  นักวิจัย  ( n. ,  Roap  เก็บเกี่ยว  ( v. ,  Inhibit  ยับยั้ง  ( v. Pick  เด็ด  เลือก  ( v )
การอ่านบทความที่เป็นบทความภาษาอังกฤษ  วันนี้ข้าพเจ้าได้ใช้ทักษะการอ่านแบบสกิมมั่ง  ( Skimming )  การอ่านแบบสกิมมิ่ง  คือ  การอ่านข้อความอย่างเร็ว ๆ เป็นจุด ๆ เช่น  อ่าน  2-3  คำแรก  อ่านหรือ  2-3 ประโยคแรกแล้วข้ามไป  อาจข้ามเป็นประโยคหรือเป็นบรรทัด  หรืออ่านเฉพาะประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของแต่ละย่อหน้า  หรืออ่านเฉพาะคำหรือวลีที่สำคัญ ๆ ควรอ่านแบบมีจุดมุ่งหมาย  หลักการ  2  ประการ  คือ  อ่านเพื่อเก็บประเด็นใจความสำคัญ  และอ่านเพื่อเก็บรายละเอียดที่สำคัญยางอย่าง  การอ่านแบบสกิมมิ่งมีประโยชน์ที่จะช่วยประหยัดเวลาในการอ่าน  เพราะช่วยให้ผู้อ่านอ่านเรื่องต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น  และเข้าใจความสำคัญที่อ่านได้โดยไม่จำเป็นต้องอ่านรายละเอียดตลอดทั้งเรื่อง  การอ่านแบบ  skimming  เป็นรูปแบบการอ่านแบบหนึ่งจากสองแบบที่จำเป็นมาก ๆ หากได้อ่านบทความภาษาอังกฤษจำนวนมาก  จะพบว่าเป็นการยากมากที่จะหาคำตอบจากสิ่งที่โจทย์ต้องการ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  หากบทความนั้นยาวมาก  เทคนิคการอ่านแบบนี้  คือ  การอ่านด้วยความไวสูง  ไม่สนใจรายละเอียดหากแต่กวาดตามองไปอย่างรวดเร็ว  มองหา  Keyword  หรือคำหลักที่โจทย์ต้องการในบทความด้วยความไวสูง  ซึ่งการอ่านแบบนี้มีประโยชน์มากเมื่อเราต้องการทราบภาพรวม ๆ ของบทความนั้นๆ  เพราะจะไม่เปลืองสมองมากนัก
Skimming  และ  Scanning  ต่างกันอย่างไร  ?  Skimming  และ  Scanning  ต่างก็เป็นเทคนิคในการอ่านเร็วทั้งคู่  แต่  Scanning  นั้นจะกวาดสายตาหาเฉพาะสิ่งที่เราต้องการ  ( a  particular   thing  or  person )  เท่านั้น  เช่น  หาคำบางคำในสมุดโทรศัพท์เป็นต้น  โดยจะไม่อ่านทุกบรรทัดหรือทุกหน้า  จะกระโดดจากหน้านี้ไปหน้าโน้นเลย  จุดมุ่งหมายอยู่ที่คำบางคำเท่านั้น  ส่วน  Skimming  นั้นจะกวาดสายตาหาเฉพาะสาระสำคัญที่ต้องการ  ( a  particular  point  or  main )  เท่านั้น
จุดมุ่งหมายสำคัญของการอ่านแบบข้าม  คือ  การค้นหาจุดสำคัญที่ของเรื่อง  ( Topic )  ว่าเรื่องที่อ่านเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร  ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการอ่านหนังสือ  จากความสำคัญนี้เองข้อสอบในส่วนที่เป็น  Reading  comprehension  ส่วนมากจะมีคำนามเกี่ยวกับความคิดหลัก  ( Main  idea ) ของเรื่องอย่างน้อยหนึ่งข้อ
การอ่านด้วยวิธีนี้ซึ่งมีหลักปฏิบัติในการอ่านสรุปได้ดังนี้  1.  อ่านสองหรือสามคำแรกหรือสองสามคำสุดท้ายในแต่ละประโยค  คือ  การอ่านข้ามสิ่งที่คิดว่าไม่มีความสำคัญในประโยค  2.  การพรีวิว                               ( Preview ) คือ  ความสามารถที่จะคิดและคาดการณ์เห็นแนวคิดบางอย่างได้ล่วงหน้า  การพรีวิวช่วยให้จับประเด็นได้รวดเร็วขึ้นและช่วยอ่านข้อความโดยไม่เสียอรรถรส  วิธีอ่าน  คือ  อ่านประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของแต่ละย่อหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจึงไปอ่านซ้ำอีกครั้ง  เพื่อเก็บใจความสำคัญ  3.  อ่านส่วนแรกของประโยคเร็ว ๆ วิธีนี้จะไม่อ่านจนจบประโยค  แต่จะกวาดสายตามองผ่าน ๆ แล้วเริ่มต้นอ่านประโยคใหม่  ทำเรื่อย ๆ จนจบประโยคที่ต้องการจะอ่าน  ขณะที่อ่านสายตาจะจับอยู่ทางด้านซ้ายมือของประโยคตลอดเวลา  คือ  อ่านข้อความแค่หนึ่งในสามของประโยคเท่านั้น  4.  อ่านเฉพาะส่วนกลางของหน้าหนังสือ  สายตาจะจับเฉพาะตอนกลางของหนังสือเท่านั้น  และอ่านเกือบทุกประโยคด้วย  5.  อ่านแต่เฉพาะคำหรือวลีที่สำคัญ  โดยที่สำคัญอาจเป็นตัวเอน  ตัวหนา  หรือมีตัวเลขกำกับอยู่ในเครื่องหมายคำพูดก็ได้  บงครั้งอาจขึ้นต้นด้วยอักษรตัวพิมพ์ใหญ่  ทั้ง  5  ข้อนี้ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง  คือ  Topic  Sentence  ซึ่งก็คือ  ประโยคที่บรรจุหัวเรื่องและใจความสำคัญไว้โดย  Topic  Sentence  มักจะรออยู่ที่ประโยคแรกหรือประโยคสุดท้ายของข้อความ  และส่วนน้อยที่อยู่ตอนกลางของเรื่อง  และบางข้อความมี่  Topic  Sentence  ผู้อ่านต้องสรุปเอาเองจากเนื้อเรื่องในบทความนั้นๆ  สรุป  7  ขั้นตอนของการอ่านแบบ  Slimming  คือ  1.  อ่านหัวข้อเรื่อง  2.  ดูชื่อผู้แต่งและหนังสืออ้างอิง  3.  อ่านย่อหน้าแรกอย่างละเอียดและรวดเร็วเพื่อจับใจความสำคัญ  (Main  idea )  4.  อ่านหัวเรื่องย่อยและประโยคแรกของย่อหน้าที่เหลือ  5.  อ่านเรื่องทั้งหมดอย่างรวดเร็ว  6.  อ่านย่อหน้าสุดท้ายอย่างรวดเร็ว  และ  7.  เพ่งเล็งลักษณะตัวพิมพ์พิเศษอย่างไรก็ดีผู้เรียนควรฝึกการอ่าน  Skimming  ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้  ทักษะในการอ่านแบบ  Skimming  จะดีขึ้นหากพยายามฝึก
จากการอ่านบทความภาษาอังกฤษโดยใช้หลักการอ่านแบบ  Skimming  ซึ่งการอ่านก็เป็นทักษะสำคัญมากหรือจะสำคัญกว่าทักษะอื่น ๆ เพราะทักษะการอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้  เพื่อนำไปใช้ประยุกต์ใช้ในการศึกษา  การเจรจาต่อรอง  และเพื่อการแข่งขันทางการประกอบอาชีพ  โดยเฉพาะในการเรียนภาษาอังกฤษ  เป็นภาษาต่างประเทศในประเทศไทย  ทักษะการอ่านเป็นทักษะที่สำคัญมากที่สุด  เพราะผู้เรียนมีโอกาสใช้ทักษะ  ฟัง  พูด  และเขียนน้อยกว่าทักษะการอ่าน  ดังนั้นการอ่านจึงเป็นเป้าหมายสำคัญในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ  เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้เป็นเครื่องมือนำไปสู่การแสวงหาความรู้ทั้งปวง 


The passion fruit, native to South America has many amazing health benefits to all who eat this sweet and aromatic fruit. Passion fruit was a staple of Aztec society and once Spanish missionaries laid eyes on the blossoms of the passion fruit, they named it thus as they said that the blossoms resembled the crown of thorns on Christ's head during the crucifixion.
Passion fruit has a very aromatic smell and can either be yellow or purple on the outside. The skin of the passion fruit is wrinkly and its pulp is a yellow, jelly-like substance with black seeds.
              Now, one of the many health benefits of passion fruit is that its seeds (one cup) contains almost 25 grams of fiber. Passion fruit seeds are a great source of fiber that the body needs to cleanse the colon, improve digestion, and help prevent heart attacks and strokes. Fiber attaches itself to the buildup found in the colon wall, pulls it out and makes the colon clean and clear from disturbances. This makes it easier for the body to digest food and in the long run, prevents the development of colon cancer. A similar process takes place in the valves of the heart whereby fiber flushes out the buildup of fat and cholesterol in the heart, protecting the body against heart attacks, heart disease and strokes.
              Passion fruit also benefits those who eat it by providing the body with high doses of Vitamin A and C. Vitamin A helps the body to remove free radicals that cause skin and tissue damage, and it helps to improve our vision. Meanwhile Vitamin C helps to repair tissue, helps prevent heart disease and cancer and helps our bones.
              A 2008 study found that subjects who took passion fruit extracts and who suffer from asthma, got relief from symptoms of coughing and wheezing by 76 percent. The antioxidants found in passion fruit is believed to block histamine, reduce allergy and inflammation; passion fruit therefore has the health benefit of reducing the symptoms of asthma.
             The antioxidant and flavonoid found in passion fruit have also been found by some researchers at the University of Florida to inhibit the growth of cancer cells.
Passion fruit can be found in market stands anywhere, so if you want to reap the rewards of the many health benefits of passion fruit, you may want to pick some up at your local supermarket.
http://lasik-healthyforeyes.blogspot.com/2012/10/benefits-of-passion-fruit.html#.VjpkmLfhDIV
            ภาษาอังกฤษในฐานะสำคัญของโลก  ภาษาอังกฤษปัจจุบัน  คือ  ภาษานานาชาติเป็นภาษากลางของโลก  ภาษาอังกฤษเป็นภากลางของมนุษย์  เป็นภาษาที่มนุษย์บนโลกใช้ติดต่อสื่อสารกันเป็นหลัก  ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาประจำชาติ  เมื่อต้องติดต่อกับคนอื่นที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรม  ทุกคนจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอยู่แล้ว  เราในฐานะเด็กไทยควรพัฒนาตัวเองให้เก่งภาษาอังกฤษทั้ง  4  ทักษะ  คือ  ทักษะการพูด  ทักษะการฟัง  ทักษะการอ่าน  และทักษะการเขียน  ในวันนี้ข้าพเจ้าจะพัฒนาทักษะการพูดและอ่าน  เพราะเป็นทักษะพื้นฐานในการรับข้อมูลและถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดให้ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจ  เราควรได้รับการฝึกฝนอย่างไรให้เพียงพอ  เพื่อให้สามารถสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง
            ในปัจจุบันส่วนมากพบว่าความความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของเราต้องปรับปรุงอีกเยอะ  ขณะที่พูดต้องแสดงท่าทางประกอบด้วยจึงจะสามารถสื่อความหมายได้  และเราไม่ได้พัฒนาทักษะการใช้ภาษาอย่างต่อเนื่อง  ข้าพเจ้าต้องการพัฒนาทักษะการพูด  โดยพูดภาษาอังกฤษ  18  สำนวนที่เราต้องเจอบ่อย  ๆ  มาหัดพูดควบคู่กับการอ่าน  และได้รู้ความหมายจากสำนวนเหล่านี้  หากเราอยู่ในอเมริกาก็จะพูดกันทุกวันเลย  เรามาดูกันว่ามีสำนวนอะไรกันบ้าง  และได้นำมาฝึกให้ถูกสถานการณ์  สำนวนแรก  คือ  24/7  อ่าน  Twenty  - four / seven  แปลงตรงตัวว่า  24  ชม.  7  วัน  สำนวนนี้หมายถึงตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง  เพราะ  1  วัน  มี  24  ชั่วโมง  และมี  7  วันใน  1  สัปดาห์  สำนวนนี้คล้าย ๆ กับตลอด  24  ชม.  ในภาษาไทย  ต่อมาสำนวนที่  2  คือ  A  taste  of  Your  Own  Medicine  แปลตรงตัวว่า  ลิ้มรสยาของตัวเอง  หมายถึง  การโต้ตอบเอาคืนอีกฝ่ายโดยใช้การกระทำที่สาสมกัน  เพื่อเป็นการเอาคืน   คล้าย ๆ กับสำนวนไทย  เกลือจิ้มเกลือ
            สำนวนที่  3  คือ  Butterflies  in  my  stomach  แปลตรงตัวว่า  มีผีเสื้อบินอยู่ในท้อง  หมายถึง  ความรู้สึกหวิว ๆ ในท้องเวลาที่เราตื่นเต้นกระวนกระวายที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง  สำนวนที่  4 คือ  Draw  the  line  แปลตรงตัวว่า  ขีดเส้น  หมายถึง  การกำหนดขอบเขตหรือวางเขตไว้ว่าจะทำให้หรือยอมให้ได้แค่นั้น  สำนวนที่  5  คือ  Easier  Said  Than  Done  แปลตรงตัวว่า  การพูดง่ายกว่าการกระทำ  สำนวนที่  6  คือ  Every  Cloud  has  a  silver  Lining  แปลตรงตัวว่า  เมฆทุกก้อนมีสีเงิน  หมายถึง  ในสิ่งที่เลวร้ายก็ยังพอมีสิ่งที่ดีปรากฏอยู่  คล้ายกับสำนวนไทย  “ฟ้าหลังฝน”  สำนวนที่  7  คือ  Finding  a  needle  in  haystack.  แปลตรงตัวว่า  การหาเข็มในกองหญ้า  หมายถึง  ค้นหาสิ่งที่ยากแก่การหา  คล้ายกับสำนวนไทย  “งมเข็มในมหาสมุทร”  สำนวนที่  8  คือ  Get  something  off  your  Chest  แปลตรงตัวว่า  เอาบางสิ่งออกจากอกของคุณ  หมายถึง  ระบายเรื่องกลุ่มใจหรือไม่สบายใจออกมา  สำนวนที่  9  คือ  Don’t  beat  around  the  bush  แปลตรงตัวว่า  อย่าตีรอบๆพุ่มไม้  หมายถึง  อย่าพูดกวน,  ไม่ตรงจุด  หรืออย่าพูดจาไปมา  มีอะไรก็พูดมาตรงๆ  สำนวนที่  10  คือ  Piece  of  cake  แปลตรงตัวว่า 
            สำนวนถัดมาสำนวนที่  11  คือ  When  pigs  Fly.  แปลตรงตัวว่า  เมื่อหมูบินได้  หมายถึง  เริ่มที่เป็นไปไม่ได้  สำนวนที่  12  คือ  once  in  a  blue  moon  แปลตรงตัวว่า  “ครั้งหนึ่งเมื่อพระจันทร์กลายเป็นสีน้ำเงิน  หมายถึง  นาน ๆ ครั้ง นาน ๆ ที  เพราะพระจันทร์ไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินให้เราเห็นบ่อย ๆ  สำนวนต่อมาสำนวนที่  13  คือ  Break  a  leg  แปลตรงตัวว่า  “หักขา”  อาจจะฟังดูน่ากลัว  แต่จริงๆ  หมายถึง  ขอให้โชคดี  สำนวนนี้เกิดจากความเชื่อว่า  ถ้าเราพูดถึงสิ่งไม่ดี  สิ่งร้ายนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น  เพราะเราพูดถึงไปแล้ว  สำนวนที่  14  คือ  Put  your  foot  in  your  mouth  แปลตรงว่า  เอาเท้าใส่ปาก  หมายถึง  การที่เราบังเอิญไปพูดหรือทำอะไรสักอย่างเกี่ยวคนที่เป็นเจ้าของเรื่องนั้นโดยที่เราไม่รู้  คล้าย ๆ กับสำนวนไทยที่ว่า “จุดไต้ตำตอ”  สำนวนที่  15  คือ  Sick  and  tired  แปลตัวตรงว่า  ป่วยและเหนื่อย  แต่
จริง ๆ  หมายถึง  เซ้งเบื่อและไม่ชอบ  สำนวนที่  16  คือ  Sleep  on  it  แปลตรงตัวว่า  นอนบนสิ่งนั้น  สำนวนนี้  หมายถึง  การนอนคิดหรือใช้เวลาในการตัดสินใจ  สำนวนที่  17  คือ  Take  it  easy  แปลตรงตัว  ทำให้มันง่าย  หมายถึง  ทำตัวตามสบาย ๆ ง่าย ๆ ชิว ๆ ใจเย็น  และสำนวนสุดท้าย  คือ  Tip  of  the  icebery  แปลตรงว่า  ปลายยอดภูเขาน้ำแข็ง  สำนวนนี้  หมายถึง  ส่วนเล็กๆของเรื่องหรือปัญหาใหญ่ ๆ หลาย ๆ คนอาจจะไม่เข้าใจ  ลองนึกดูตามความเป็นจริงเวลาเรามองภูเขาน้ำแข็ง  คนเราจะเห็นได้แค่ยอดของมันที่โผล่พ้นน้ำแต่ส่วนอยู่ใต้น้ำที่เรามองไม่เห็นอาจจะใหญ่มากกว่าปลายของมันหลายเท่า  เราได้ฝึกพูดหัดอ่านสำนวน  และนำไปได้ถูกต้องตามสถานการณ์ 
            ต่อมาเรามาฝึกการท่องศัพท์โดยรากศัพท์  การที่เรารู้รากศัพท์ของภาษาอังกฤษ  ทำให้สามรถเห็นคำคำหนึ่งแล้วสามารถเดาความหมายได้  วันนี้ได้ฝึกท่องศัพท์ดังต่อไปนี้  คำที่แรก  คือ  en  แปลว่าทำให้  คำที่  2  In  =  ไม่  คำที่  3  Re  =  โต้ตอบ,  ตอบกลับ  คำที่  4  Pro  =  ไปข้างหน้า  และคำสุดท้าย  Inter  ระหว่าง,  ตรงกลาง  และเราจะใช้คำว่า  Act  =  เคลื่อนไหวกระทำปฏิบัติกระตุ้น  ซึ่งเมื่อเราเติมคำว่า  Act  ลงไปรวมอยู่กับคำทั้งห้าที่กล่าวมา  เราก็จะได้คำศัพท์ใหม่เพิ่มขึ้นมากมาย  อย่างคำแรก  คือ
Inactive  =  ไม่มีความเคลื่อนไหวไม่กระตือรือร้น
Pnact  =  มีผลบังคับใช้
Reaction  =  ปฏิกิริยาตอบโต้การตอบสนอง
Proaction  =  ในเชิงบุกรุกเชิงรุก
Interact  =  มีปฏิสัมพันธ์ต่อพัน
            เราสวามารถท่องศัพท์โดยที่เรารู้คำศัพท์คำว่า  Act  และก็เพราะเรารู้รากศัพท์อีก  4-5  ตัว  กลายเป็นเราสามารถท่องศัพท์ตัวเดียว  และท่องได้เพิ่มอีก  4-5  ตัว  มันสามารถเป็นวิธีที่ใช้แล้วได้ผล  แต่บางทีก็จะมีกรณียกเว้น  คำศัพท์บางคำอาจขึ้นต้นด้วยคำศัพท์พวกนี้  แต่ไม่อาจจะมีความหมาย  แปลได้จากรากศัพท์นี้  แต่ส่วนใหญ่สามารถใช้ได้  วันนี้ได้ฝึกทั้งทักษะการพูดและอ่านจากสำนวน  และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน  นำไปพูดบ่อย ๆ กับเพื่อนจะทำให้เราจำได้และเข้าใจ  รวมทั้งการท่องศัพท์จากรากศัพท์ทำให้เราฝึกอ่าน  ทำให้ได้พัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเอง  เพื่อไม่ให้เสียเปรียบต่อชาวต่างชาติและผู้ที่รู้ภาษา