วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ทักษะพัฒนาการอ่านและจำ


Learing  log  9 ( นอกห้องเรียน )

ในปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านการคมนาคม  การสื่อสาร  เทคโนโลยีและวิทยาการต่างๆเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก  รวดเร็ว  และครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของโลก  ซึ่งการติดต่อสื่อสารนั้นจำเป็นต้องมีภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารความหมาย  ถ่ายทอดความคิด  ความรู้สึก  ภาษาที่นิยมและได้รับการยอมรับว่าเป็นภาษาสากลที่ใช้ติดสื่อสารกันทั่วโลก  คือ  ภาษาอังกฤษ  บทบาทและหน้าที่ของภาษาอังกฤษเด่นชัดขึ้นในทางการศึกษา  ทางการบริหารและสังคม  ภาษาอังกฤษมีสถานภาพเป็นภาษาสากล  ความต้องการสื่อสารระหว่างประเทศ  ระหว่างชุมชน  ความต้องการในการเรียนรู้ความก้าวหน้าทาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  และความต้องการในระดับนานาชาติ
ทำให้ภาษาอังกฤษมีความจำเป็นในสังคมยุคใหม่  สังคมไทยก็เช่นกัน  ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแห่งเทคโนโลยี  มีความสำคัญต่อการศึกษาและการทำงาน  ผู้ที่มีความรู้ทางภาษาอังกฤษย่อมได้เปรียบในการติดต่อสื่อสาร  การติดตามข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ด้านการศึกษา  และการประกอบอาชีพ  เพราะสามารถเข้าใจความรู้สึกนึกคิด  ทัศนคติ  และวัฒนธรรมของชนชาติอื่น ๆ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก  ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ ๆ การเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาต่างประเทศในประเทศไทย  นับเป็นสิ่งยากที่ผู้เรียนต้องฝึกเพื่อให้เกิดทักษะทางภาษา  เพราะเมื่ออยู่นอกชั้นเรียนแล้วผู้เรียนจะไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเท่าที่ควร  อย่างไรก็ตาม  วิธีการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศในปัจจุบันเน้นให้ผู้เรียนมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ  เพื่อการสื่อความหมายและความคิด
ฉะนั้นต้องสร้างทักษะภาษาอังกฤษนอกชั้นเรียนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองได้อย่างสมบูรณ์  การอ่านเป็นทักษะสำคัญในการพัฒนาให้เราเก่งในวิชาภาษาอังกฤษ  การอ่านภาษาอังกฤษทำให้เราพัฒนาไปเรื่อย ๆ สิ่งที่ดีที่สุดในการทำให้เราเก่งภาษาอังกฤษ  คือ  การอ่านบทความหรืออะไรก็ได้เป็นภาษาอังกฤษ  อ่านบทความที่ไม่ยากเกินไปก่อนสำหรับในการฝึกหัดอ่านภาษาอังกฤษแรก ๆ  วันนี้ข้าพเจ้าได้อ่านบทความภาษาอังกฤษซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ  เนื้อความมีความหมายประมาณว่า  เสาวรสผลไม้พื้นเมืองของทวีปอเมริกาใต้มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ  เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจกับการที่ทุกคนกินผลไม้รสหวานและมีกลิ่นหอม  เสาวรสเป็นอาหารหลักของชนชาติอินเดียแดงและครั้งหนึ่งมิชชันนารีสเปนจัดวางดอกไม้ของเสาวรส  พวกเขาตั้งชื่อมัน  พวกเขาบอกว่าดอกคล้ายมงกุฎหนามบนหัวของพระคริสต์ในระหว่างการตรึงกางเขน
เสาวรสมีกลิ่นหอมมากมีทั้งสีเหลือง  ม่วง  ผิวของเสาวรสย่น  เมล็ดของมันมีประโยชน์มากมาย  เมล็ดเสาวรสเป็นแหล่งที่ดีของเส้นใยที่ร่างกายต้องการในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่  ปรับสภาพการย่อยอาหาร  และช่วยป้องกันโรคหัวใจ  และการอุดตันของเส้นโลหิต  รวมทั้งไฟเบอร์ช่วยในการย่อยอาหาร  ช่วยป้องกันการพัฒนาของมะเร็งลำไส้ใหญ่  กระบวนการที่คล้ายกันเกิดขึ้นในวาล์วของหัวใจ  โดยเส้นใยวูบวาบจากการสะสมของไขมันและคอเลสเตอรอล  ปกป้องร่างกาย  ต่อต้านโรคหัวใจ  เสาวรสมีประโยชน์ผู้ที่กินมันจะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินเอและวิตามีนซีช่วยให้ร่างกายลบอนุมูลอิสระที่ทำให้ผิวเสียหาย  มันช่วยปรับสภาพผิว  รวมทั้งวิตามีนซีจะซ่อมเนื้อเยื่อช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็ง  ช่วยให้กระดูกแข็งแรง
ปี  20008  มีอาสาสมัครมาศึกษาสารสกัดจากเสาวรสและผู้ทนทุกข์ทรมานจากโรคหืด  ได้รับการผ่อนคลายจากอาการไอและหายใจลำบาก  โดยร้อยละ  76  มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่พบในเสารส  เชื่อว่าป้องกันการแพ้และอักเสบ  สารต่อต้านอนุมูลอิสระและ  flavonoid  ค้นพบในเสารส  โดยนักวิจัยบางคนที่มหาลัยฟลอริด้าที่จะยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง  เสาวรสสามารถพบได้ในตลาดยืนที่ใดก็ได้  ดังนั้นหากคุณต้องเก็บเกี่ยวผลของประโยชน์ของเสาวรส  คุณต้องเลือกบางที่ที่ซุปเปอร์มาเก็ตท้องถิ่นของคุณ
หลังจากที่แปลได้แล้วอาจจะแปลผิดและแปลไม่ดีสักเท่าไร  แต่เราก็ยังได้อ่านฝึกทักษะการอ่าน  โดยการอ่านครั้งนี้ข้าพเจ้าได้รู้คำศัพท์ใหม่  คือ  Blossom  หมายถึง  ดอกไม้  ( n. )  พัฒนา  ( v. )  ,  Crucifixion  การฆ่าโดยการตรึงกางเขน  ( n. )  ,  Vomatic  ที่มีกลิ่นหอม  (Adj.,  Purple  สีม่วง  ( Adj.Wrinkly  ซึ่งมีรอยเหี่ยวย่น  ( Adj. )  ,  Pulp  เนื้อของผลไม้  ( n. ,  Seed  เมล็ด ( v. ,  Prevent  ขัดขวาง ( v.Disturbance การรบกวน ( n. )  ,  Digeston  การย่อยอาหาร  ( n. ,  Digest  ย่อยอาหาร ( v. ,  Protect  ป้องกัน ( v.Against  ต่อต้าน  ,  ปกป้องจาก  ( Prep,  Disease  ปัญหา  โรคภัยไข้เจ็บ  ( n. Idical  โดยรายฐาน  ทั่วถึง ( n. Asthina  โรคหืด  ( n. )  ,    Researcher  นักวิจัย  ( n. ,  Roap  เก็บเกี่ยว  ( v. ,  Inhibit  ยับยั้ง  ( v. Pick  เด็ด  เลือก  ( v )
การอ่านบทความที่เป็นบทความภาษาอังกฤษ  วันนี้ข้าพเจ้าได้ใช้ทักษะการอ่านแบบสกิมมั่ง  ( Skimming )  การอ่านแบบสกิมมิ่ง  คือ  การอ่านข้อความอย่างเร็ว ๆ เป็นจุด ๆ เช่น  อ่าน  2-3  คำแรก  อ่านหรือ  2-3 ประโยคแรกแล้วข้ามไป  อาจข้ามเป็นประโยคหรือเป็นบรรทัด  หรืออ่านเฉพาะประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของแต่ละย่อหน้า  หรืออ่านเฉพาะคำหรือวลีที่สำคัญ ๆ ควรอ่านแบบมีจุดมุ่งหมาย  หลักการ  2  ประการ  คือ  อ่านเพื่อเก็บประเด็นใจความสำคัญ  และอ่านเพื่อเก็บรายละเอียดที่สำคัญยางอย่าง  การอ่านแบบสกิมมิ่งมีประโยชน์ที่จะช่วยประหยัดเวลาในการอ่าน  เพราะช่วยให้ผู้อ่านอ่านเรื่องต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น  และเข้าใจความสำคัญที่อ่านได้โดยไม่จำเป็นต้องอ่านรายละเอียดตลอดทั้งเรื่อง  การอ่านแบบ  skimming  เป็นรูปแบบการอ่านแบบหนึ่งจากสองแบบที่จำเป็นมาก ๆ หากได้อ่านบทความภาษาอังกฤษจำนวนมาก  จะพบว่าเป็นการยากมากที่จะหาคำตอบจากสิ่งที่โจทย์ต้องการ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  หากบทความนั้นยาวมาก  เทคนิคการอ่านแบบนี้  คือ  การอ่านด้วยความไวสูง  ไม่สนใจรายละเอียดหากแต่กวาดตามองไปอย่างรวดเร็ว  มองหา  Keyword  หรือคำหลักที่โจทย์ต้องการในบทความด้วยความไวสูง  ซึ่งการอ่านแบบนี้มีประโยชน์มากเมื่อเราต้องการทราบภาพรวม ๆ ของบทความนั้นๆ  เพราะจะไม่เปลืองสมองมากนัก
Skimming  และ  Scanning  ต่างกันอย่างไร  ?  Skimming  และ  Scanning  ต่างก็เป็นเทคนิคในการอ่านเร็วทั้งคู่  แต่  Scanning  นั้นจะกวาดสายตาหาเฉพาะสิ่งที่เราต้องการ  ( a  particular   thing  or  person )  เท่านั้น  เช่น  หาคำบางคำในสมุดโทรศัพท์เป็นต้น  โดยจะไม่อ่านทุกบรรทัดหรือทุกหน้า  จะกระโดดจากหน้านี้ไปหน้าโน้นเลย  จุดมุ่งหมายอยู่ที่คำบางคำเท่านั้น  ส่วน  Skimming  นั้นจะกวาดสายตาหาเฉพาะสาระสำคัญที่ต้องการ  ( a  particular  point  or  main )  เท่านั้น
จุดมุ่งหมายสำคัญของการอ่านแบบข้าม  คือ  การค้นหาจุดสำคัญที่ของเรื่อง  ( Topic )  ว่าเรื่องที่อ่านเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร  ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการอ่านหนังสือ  จากความสำคัญนี้เองข้อสอบในส่วนที่เป็น  Reading  comprehension  ส่วนมากจะมีคำนามเกี่ยวกับความคิดหลัก  ( Main  idea ) ของเรื่องอย่างน้อยหนึ่งข้อ
การอ่านด้วยวิธีนี้ซึ่งมีหลักปฏิบัติในการอ่านสรุปได้ดังนี้  1.  อ่านสองหรือสามคำแรกหรือสองสามคำสุดท้ายในแต่ละประโยค  คือ  การอ่านข้ามสิ่งที่คิดว่าไม่มีความสำคัญในประโยค  2.  การพรีวิว                               ( Preview ) คือ  ความสามารถที่จะคิดและคาดการณ์เห็นแนวคิดบางอย่างได้ล่วงหน้า  การพรีวิวช่วยให้จับประเด็นได้รวดเร็วขึ้นและช่วยอ่านข้อความโดยไม่เสียอรรถรส  วิธีอ่าน  คือ  อ่านประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของแต่ละย่อหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจึงไปอ่านซ้ำอีกครั้ง  เพื่อเก็บใจความสำคัญ  3.  อ่านส่วนแรกของประโยคเร็ว ๆ วิธีนี้จะไม่อ่านจนจบประโยค  แต่จะกวาดสายตามองผ่าน ๆ แล้วเริ่มต้นอ่านประโยคใหม่  ทำเรื่อย ๆ จนจบประโยคที่ต้องการจะอ่าน  ขณะที่อ่านสายตาจะจับอยู่ทางด้านซ้ายมือของประโยคตลอดเวลา  คือ  อ่านข้อความแค่หนึ่งในสามของประโยคเท่านั้น  4.  อ่านเฉพาะส่วนกลางของหน้าหนังสือ  สายตาจะจับเฉพาะตอนกลางของหนังสือเท่านั้น  และอ่านเกือบทุกประโยคด้วย  5.  อ่านแต่เฉพาะคำหรือวลีที่สำคัญ  โดยที่สำคัญอาจเป็นตัวเอน  ตัวหนา  หรือมีตัวเลขกำกับอยู่ในเครื่องหมายคำพูดก็ได้  บงครั้งอาจขึ้นต้นด้วยอักษรตัวพิมพ์ใหญ่  ทั้ง  5  ข้อนี้ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง  คือ  Topic  Sentence  ซึ่งก็คือ  ประโยคที่บรรจุหัวเรื่องและใจความสำคัญไว้โดย  Topic  Sentence  มักจะรออยู่ที่ประโยคแรกหรือประโยคสุดท้ายของข้อความ  และส่วนน้อยที่อยู่ตอนกลางของเรื่อง  และบางข้อความมี่  Topic  Sentence  ผู้อ่านต้องสรุปเอาเองจากเนื้อเรื่องในบทความนั้นๆ  สรุป  7  ขั้นตอนของการอ่านแบบ  Slimming  คือ  1.  อ่านหัวข้อเรื่อง  2.  ดูชื่อผู้แต่งและหนังสืออ้างอิง  3.  อ่านย่อหน้าแรกอย่างละเอียดและรวดเร็วเพื่อจับใจความสำคัญ  (Main  idea )  4.  อ่านหัวเรื่องย่อยและประโยคแรกของย่อหน้าที่เหลือ  5.  อ่านเรื่องทั้งหมดอย่างรวดเร็ว  6.  อ่านย่อหน้าสุดท้ายอย่างรวดเร็ว  และ  7.  เพ่งเล็งลักษณะตัวพิมพ์พิเศษอย่างไรก็ดีผู้เรียนควรฝึกการอ่าน  Skimming  ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้  ทักษะในการอ่านแบบ  Skimming  จะดีขึ้นหากพยายามฝึก
จากการอ่านบทความภาษาอังกฤษโดยใช้หลักการอ่านแบบ  Skimming  ซึ่งการอ่านก็เป็นทักษะสำคัญมากหรือจะสำคัญกว่าทักษะอื่น ๆ เพราะทักษะการอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้  เพื่อนำไปใช้ประยุกต์ใช้ในการศึกษา  การเจรจาต่อรอง  และเพื่อการแข่งขันทางการประกอบอาชีพ  โดยเฉพาะในการเรียนภาษาอังกฤษ  เป็นภาษาต่างประเทศในประเทศไทย  ทักษะการอ่านเป็นทักษะที่สำคัญมากที่สุด  เพราะผู้เรียนมีโอกาสใช้ทักษะ  ฟัง  พูด  และเขียนน้อยกว่าทักษะการอ่าน  ดังนั้นการอ่านจึงเป็นเป้าหมายสำคัญในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ  เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้เป็นเครื่องมือนำไปสู่การแสวงหาความรู้ทั้งปวง 


The passion fruit, native to South America has many amazing health benefits to all who eat this sweet and aromatic fruit. Passion fruit was a staple of Aztec society and once Spanish missionaries laid eyes on the blossoms of the passion fruit, they named it thus as they said that the blossoms resembled the crown of thorns on Christ's head during the crucifixion.
Passion fruit has a very aromatic smell and can either be yellow or purple on the outside. The skin of the passion fruit is wrinkly and its pulp is a yellow, jelly-like substance with black seeds.
              Now, one of the many health benefits of passion fruit is that its seeds (one cup) contains almost 25 grams of fiber. Passion fruit seeds are a great source of fiber that the body needs to cleanse the colon, improve digestion, and help prevent heart attacks and strokes. Fiber attaches itself to the buildup found in the colon wall, pulls it out and makes the colon clean and clear from disturbances. This makes it easier for the body to digest food and in the long run, prevents the development of colon cancer. A similar process takes place in the valves of the heart whereby fiber flushes out the buildup of fat and cholesterol in the heart, protecting the body against heart attacks, heart disease and strokes.
              Passion fruit also benefits those who eat it by providing the body with high doses of Vitamin A and C. Vitamin A helps the body to remove free radicals that cause skin and tissue damage, and it helps to improve our vision. Meanwhile Vitamin C helps to repair tissue, helps prevent heart disease and cancer and helps our bones.
              A 2008 study found that subjects who took passion fruit extracts and who suffer from asthma, got relief from symptoms of coughing and wheezing by 76 percent. The antioxidants found in passion fruit is believed to block histamine, reduce allergy and inflammation; passion fruit therefore has the health benefit of reducing the symptoms of asthma.
             The antioxidant and flavonoid found in passion fruit have also been found by some researchers at the University of Florida to inhibit the growth of cancer cells.
Passion fruit can be found in market stands anywhere, so if you want to reap the rewards of the many health benefits of passion fruit, you may want to pick some up at your local supermarket.
http://lasik-healthyforeyes.blogspot.com/2012/10/benefits-of-passion-fruit.html#.VjpkmLfhDIV
            ภาษาอังกฤษในฐานะสำคัญของโลก  ภาษาอังกฤษปัจจุบัน  คือ  ภาษานานาชาติเป็นภาษากลางของโลก  ภาษาอังกฤษเป็นภากลางของมนุษย์  เป็นภาษาที่มนุษย์บนโลกใช้ติดต่อสื่อสารกันเป็นหลัก  ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาประจำชาติ  เมื่อต้องติดต่อกับคนอื่นที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรม  ทุกคนจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอยู่แล้ว  เราในฐานะเด็กไทยควรพัฒนาตัวเองให้เก่งภาษาอังกฤษทั้ง  4  ทักษะ  คือ  ทักษะการพูด  ทักษะการฟัง  ทักษะการอ่าน  และทักษะการเขียน  ในวันนี้ข้าพเจ้าจะพัฒนาทักษะการพูดและอ่าน  เพราะเป็นทักษะพื้นฐานในการรับข้อมูลและถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดให้ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจ  เราควรได้รับการฝึกฝนอย่างไรให้เพียงพอ  เพื่อให้สามารถสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง
            ในปัจจุบันส่วนมากพบว่าความความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของเราต้องปรับปรุงอีกเยอะ  ขณะที่พูดต้องแสดงท่าทางประกอบด้วยจึงจะสามารถสื่อความหมายได้  และเราไม่ได้พัฒนาทักษะการใช้ภาษาอย่างต่อเนื่อง  ข้าพเจ้าต้องการพัฒนาทักษะการพูด  โดยพูดภาษาอังกฤษ  18  สำนวนที่เราต้องเจอบ่อย  ๆ  มาหัดพูดควบคู่กับการอ่าน  และได้รู้ความหมายจากสำนวนเหล่านี้  หากเราอยู่ในอเมริกาก็จะพูดกันทุกวันเลย  เรามาดูกันว่ามีสำนวนอะไรกันบ้าง  และได้นำมาฝึกให้ถูกสถานการณ์  สำนวนแรก  คือ  24/7  อ่าน  Twenty  - four / seven  แปลงตรงตัวว่า  24  ชม.  7  วัน  สำนวนนี้หมายถึงตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง  เพราะ  1  วัน  มี  24  ชั่วโมง  และมี  7  วันใน  1  สัปดาห์  สำนวนนี้คล้าย ๆ กับตลอด  24  ชม.  ในภาษาไทย  ต่อมาสำนวนที่  2  คือ  A  taste  of  Your  Own  Medicine  แปลตรงตัวว่า  ลิ้มรสยาของตัวเอง  หมายถึง  การโต้ตอบเอาคืนอีกฝ่ายโดยใช้การกระทำที่สาสมกัน  เพื่อเป็นการเอาคืน   คล้าย ๆ กับสำนวนไทย  เกลือจิ้มเกลือ
            สำนวนที่  3  คือ  Butterflies  in  my  stomach  แปลตรงตัวว่า  มีผีเสื้อบินอยู่ในท้อง  หมายถึง  ความรู้สึกหวิว ๆ ในท้องเวลาที่เราตื่นเต้นกระวนกระวายที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง  สำนวนที่  4 คือ  Draw  the  line  แปลตรงตัวว่า  ขีดเส้น  หมายถึง  การกำหนดขอบเขตหรือวางเขตไว้ว่าจะทำให้หรือยอมให้ได้แค่นั้น  สำนวนที่  5  คือ  Easier  Said  Than  Done  แปลตรงตัวว่า  การพูดง่ายกว่าการกระทำ  สำนวนที่  6  คือ  Every  Cloud  has  a  silver  Lining  แปลตรงตัวว่า  เมฆทุกก้อนมีสีเงิน  หมายถึง  ในสิ่งที่เลวร้ายก็ยังพอมีสิ่งที่ดีปรากฏอยู่  คล้ายกับสำนวนไทย  “ฟ้าหลังฝน”  สำนวนที่  7  คือ  Finding  a  needle  in  haystack.  แปลตรงตัวว่า  การหาเข็มในกองหญ้า  หมายถึง  ค้นหาสิ่งที่ยากแก่การหา  คล้ายกับสำนวนไทย  “งมเข็มในมหาสมุทร”  สำนวนที่  8  คือ  Get  something  off  your  Chest  แปลตรงตัวว่า  เอาบางสิ่งออกจากอกของคุณ  หมายถึง  ระบายเรื่องกลุ่มใจหรือไม่สบายใจออกมา  สำนวนที่  9  คือ  Don’t  beat  around  the  bush  แปลตรงตัวว่า  อย่าตีรอบๆพุ่มไม้  หมายถึง  อย่าพูดกวน,  ไม่ตรงจุด  หรืออย่าพูดจาไปมา  มีอะไรก็พูดมาตรงๆ  สำนวนที่  10  คือ  Piece  of  cake  แปลตรงตัวว่า 
            สำนวนถัดมาสำนวนที่  11  คือ  When  pigs  Fly.  แปลตรงตัวว่า  เมื่อหมูบินได้  หมายถึง  เริ่มที่เป็นไปไม่ได้  สำนวนที่  12  คือ  once  in  a  blue  moon  แปลตรงตัวว่า  “ครั้งหนึ่งเมื่อพระจันทร์กลายเป็นสีน้ำเงิน  หมายถึง  นาน ๆ ครั้ง นาน ๆ ที  เพราะพระจันทร์ไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินให้เราเห็นบ่อย ๆ  สำนวนต่อมาสำนวนที่  13  คือ  Break  a  leg  แปลตรงตัวว่า  “หักขา”  อาจจะฟังดูน่ากลัว  แต่จริงๆ  หมายถึง  ขอให้โชคดี  สำนวนนี้เกิดจากความเชื่อว่า  ถ้าเราพูดถึงสิ่งไม่ดี  สิ่งร้ายนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น  เพราะเราพูดถึงไปแล้ว  สำนวนที่  14  คือ  Put  your  foot  in  your  mouth  แปลตรงว่า  เอาเท้าใส่ปาก  หมายถึง  การที่เราบังเอิญไปพูดหรือทำอะไรสักอย่างเกี่ยวคนที่เป็นเจ้าของเรื่องนั้นโดยที่เราไม่รู้  คล้าย ๆ กับสำนวนไทยที่ว่า “จุดไต้ตำตอ”  สำนวนที่  15  คือ  Sick  and  tired  แปลตัวตรงว่า  ป่วยและเหนื่อย  แต่
จริง ๆ  หมายถึง  เซ้งเบื่อและไม่ชอบ  สำนวนที่  16  คือ  Sleep  on  it  แปลตรงตัวว่า  นอนบนสิ่งนั้น  สำนวนนี้  หมายถึง  การนอนคิดหรือใช้เวลาในการตัดสินใจ  สำนวนที่  17  คือ  Take  it  easy  แปลตรงตัว  ทำให้มันง่าย  หมายถึง  ทำตัวตามสบาย ๆ ง่าย ๆ ชิว ๆ ใจเย็น  และสำนวนสุดท้าย  คือ  Tip  of  the  icebery  แปลตรงว่า  ปลายยอดภูเขาน้ำแข็ง  สำนวนนี้  หมายถึง  ส่วนเล็กๆของเรื่องหรือปัญหาใหญ่ ๆ หลาย ๆ คนอาจจะไม่เข้าใจ  ลองนึกดูตามความเป็นจริงเวลาเรามองภูเขาน้ำแข็ง  คนเราจะเห็นได้แค่ยอดของมันที่โผล่พ้นน้ำแต่ส่วนอยู่ใต้น้ำที่เรามองไม่เห็นอาจจะใหญ่มากกว่าปลายของมันหลายเท่า  เราได้ฝึกพูดหัดอ่านสำนวน  และนำไปได้ถูกต้องตามสถานการณ์ 
            ต่อมาเรามาฝึกการท่องศัพท์โดยรากศัพท์  การที่เรารู้รากศัพท์ของภาษาอังกฤษ  ทำให้สามรถเห็นคำคำหนึ่งแล้วสามารถเดาความหมายได้  วันนี้ได้ฝึกท่องศัพท์ดังต่อไปนี้  คำที่แรก  คือ  en  แปลว่าทำให้  คำที่  2  In  =  ไม่  คำที่  3  Re  =  โต้ตอบ,  ตอบกลับ  คำที่  4  Pro  =  ไปข้างหน้า  และคำสุดท้าย  Inter  ระหว่าง,  ตรงกลาง  และเราจะใช้คำว่า  Act  =  เคลื่อนไหวกระทำปฏิบัติกระตุ้น  ซึ่งเมื่อเราเติมคำว่า  Act  ลงไปรวมอยู่กับคำทั้งห้าที่กล่าวมา  เราก็จะได้คำศัพท์ใหม่เพิ่มขึ้นมากมาย  อย่างคำแรก  คือ
Inactive  =  ไม่มีความเคลื่อนไหวไม่กระตือรือร้น
Pnact  =  มีผลบังคับใช้
Reaction  =  ปฏิกิริยาตอบโต้การตอบสนอง
Proaction  =  ในเชิงบุกรุกเชิงรุก
Interact  =  มีปฏิสัมพันธ์ต่อพัน
            เราสวามารถท่องศัพท์โดยที่เรารู้คำศัพท์คำว่า  Act  และก็เพราะเรารู้รากศัพท์อีก  4-5  ตัว  กลายเป็นเราสามารถท่องศัพท์ตัวเดียว  และท่องได้เพิ่มอีก  4-5  ตัว  มันสามารถเป็นวิธีที่ใช้แล้วได้ผล  แต่บางทีก็จะมีกรณียกเว้น  คำศัพท์บางคำอาจขึ้นต้นด้วยคำศัพท์พวกนี้  แต่ไม่อาจจะมีความหมาย  แปลได้จากรากศัพท์นี้  แต่ส่วนใหญ่สามารถใช้ได้  วันนี้ได้ฝึกทั้งทักษะการพูดและอ่านจากสำนวน  และนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน  นำไปพูดบ่อย ๆ กับเพื่อนจะทำให้เราจำได้และเข้าใจ  รวมทั้งการท่องศัพท์จากรากศัพท์ทำให้เราฝึกอ่าน  ทำให้ได้พัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเอง  เพื่อไม่ให้เสียเปรียบต่อชาวต่างชาติและผู้ที่รู้ภาษา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น