Learning log
6 ( นอกห้องเรียน)
ภาษาที่คนทั้งโลกยอมรับให้เป็นภาษากลางเพื่อจะใช้ในการสื่อสารให้เข้าใจตรงกันนั้น ปัจจุบัน
คือ ภาษาอังกฤษ
ซึ่งเป็นภาษาที่สองที่คนไทยเราร่ำเรียนกันมานานแล้ว ตั้งแต่ข้าพเจ้าจำได้ ภาษาอังกฤษเริ่มเข้ามามีบทบาทกับคนไทยตั้งแต่เราเรียนกันในระดับอนุบาลแล้ว
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นที่สงสัยกันมาตลอดก็คือ ทำไมคนไทยพูดภาษาอังกฤษแทบจะไม่ได้ ? ทั้ง
ๆ ที่เราร่ำเรียนกันตั้งแต่วัยเยาว์
และส่วนใหญ่ก็จะมีเหตุผลที่คล้ายกัน
เหตุผลประการแรก คือ โรงเรียนส่วนใหญ่จะมีการสื่อสารแบบเดียว โดยที่ครูจะทำหน้าที่สื่อสาร ส่วนนักเรียนรับสารอย่างเดียว โดยไม่มีโอกาสได้โต้ตอบกลับไป ทำให้นักเรียนกลายเป็นคนขี้อาย
ไม่คุ้ยเคยและไม่มีความมั่นใจในการพูดในห้องเรียนหรือเหตุการณ์เฉพาะหน้าต่าง
ๆ
ในเมื่อตอนเรียนหนังสือไม่ค่อยมีโอกาสได้สื่อสารและแสดงความคิดเห็นของตัวเอง พอโตขึ้นมาจึงชินกับการไม่ค่อยกล้า ไม่มั่นใจ
การไม่ได้ฝึกสื่อสารให้มาก ๆ ในโรงเรียน
และครูไม่ให้โอกาสเด็กได้พูด
มีผลต่อการสื่อสารภาษาอังกฤษของเด็กไทยด้วย เหตุผลประการที่ 2
คือ การกลัว กลัวเสียหน้า
เสียชื่อ
ไม่มั่นใจในความคิดและฝีมือของตนเอง
การคิดแบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องผิด
แต่ถ้าเรายังคิดกลัวเสียหน้าเสียงต่าง ๆ นานาจริง ๆ
สิ่งที่เราจะเสียไป คือ ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ และเสียโอกาสได้รับจากประสบการณ์ชีวิต ดังนั้น
ถ้าเรายังอาย ไม่มั่นใจ
และไม่เคยชินกับการสื่อสารกับคนทั่วไปไม่ว่าจะสถานการณ์ใดก็ตาม
การกลัวก็จะเกิดขึ้นเพราะเรากลัวว่าสิ่งที่พูดไปจะออกมาไม่ดี ไม่ถูกต้อง
กลัวหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ
เราเลยเลือกที่จะไม่พูดซะดีกว่า
แต่มันคือความคิดที่ผิด ตรงกับสำนวนอังกฤษที่บอกว่า The wrong answer
better than no
answer, practice make
perfect คำตอบที่ผิดดีกว่าไม่มีคำตอบ
เพราะอย่างน้อยมันแสดงให้เห็นว่าเราไม่ใช่คนโง่ที่ไม่มีความคิด
เราไม่ใช่คนใบ้ทั้งที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม้แต่น้อย แต่เราก็มีความพยายาม การที่เราพูดออกไปมีแต่ได้กับได้ ส่วนเสียมีแต่น้อย
เพราะเราได้แสดงถึงความพยายามที่จะพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งทั้ง ๆ
ที่เราเป็นคนไทย อยู่ในประเทศมาตั้งแต่เกิด การเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือ
การเรียนรู้จากประสบการณ์และความผิดพลาดจากตัวเราเอง เมื่อไรที่เรารู้สึกกลัว ขอให้เรามีความกล้า ยิ่งกลัวต้องยิ่งบอกตัวเองว่าต้องกล้าทำ
เหตุผลข้อที่ 3
คือ เราชอบคิดมากเกี่ยวกับกฎ กติกา
มารยาทของภาษา Grammar เยอะเกินไป กลัวจะเสียหน้าถ้าพูดผิด
เลยอยากให้แน่ใจว่าตัวเองพูดถูกต้องตามที่เคยถูกปลูกฝังที่มักจะเน้นหนักในเรื่องไวยากรณ์และความถูกต้องของประโยค
จนลืมนึกถึงการสื่อสารที่ลื่นไหลตามธรรมชาติ
เราถูกสอนให้ใช้ภาษาอังกฤษให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์เท่านั้นจะได้เอาไปสอบทำคะแนนได้ดี
ๆ กังวลกับไวยากรณ์จนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
ซึ่งจริง ๆ แล้วไวยากรณ์นั้นไม่ได้เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น
เหตุผลข้อดี คือ
การเคร่งเครียดกับการเรียนมากเกินไป
ทำให้เราหมดความพยายามและคิดว่ามันยากน่าเบื่อ เราคิดว่าต้องเรียนภาษาอังกฤษก็เพื่อการงานและการเรียนที่ดีขึ้น และเอาไว้สื่อสารกับชาวต่างชาติ แต่ถ้าเราต้องการเอาชนะภาษาอังกฤษเราต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ก่อน เพราะความอาย
ความไม่มั่นใจ ความกลัว การคิดมาก
ความขี้เกียจ ความเบื่อหน่าย ไม่มีความสุข
ความเครียด การกลัวเสียหน้า
และการไม่ชอบภาษาอังกฤษล้วนจากตัวเราที่คิดขึ้นเองและสิ่งเหล่านี้จะยับยั้งความสำเร็จของเราในการเอาชนะภาษาอังกฤษได้
เพราะฉะนั้นอยากพูดภาษาอังกฤษให้เก่งต้องหัดพูดเริ่มจาก
1.
อย่ากลัวความผิดพลาดและความกังวลกับหลักไวยากรณ์มากเกินไป
ปัญหาใหญ่สำหรับคนที่กำลังหัดพูดภาษาอังกฤษที่ฝรั่งมักจะเรียกว่าเป็นอาการ “mental blocks” คือ
มีบางสิ่งในจิตใจที่ขัดขวางทำให้ไม่สามารถเข้าใจหรือทำอะไรบางอย่างได้ กลัวว่าจะพูดผิด อายพูดภาษาอังกฤษได้ไม่สมบูรณ์และไม่ถูกเป๊ะ ๆ
ตามหลักไวยากรณ์ที่ท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง
ความกังวลเหล่านี้จะทำให้รู้สึกอึดอัดและพูดไม่ได้สักที ควรพึงจำไว้ว่า การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าความสมบูรณ์แบบ เช่น Yesterday I
go to party
in beach. ซึ่งมันผิดหลักไวยากรณ์ ที่ถูกคือ
“Yesterday I went
to a party
on the beach.
แต่ทั้งสองประโยคกลับสื่อสารได้ความเดียวกันว่า “เมื่อวานฉันไปปาร์ตี้ที่ชายหาดมา” ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งร้ายแรง ก็แค่ลองใหม่แก้ไขไปเรื่อย ๆ ประการต่อมาคือ
2. เริ่มต้นจากการฟัง
อยากพูดภาษาอังกฤษให้คล่องเราต้องเริ่มฟังกันก่อน ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนาภาษาอังกฤษหรือจะดูหนัง ฟังเพลง
เลือกที่เราชอบ
สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลยควรเริ่มจากการฟังบทสนทนาง่าย ๆ
ก่อน จะช่วยให้เราคุ้นเคยกับสำเนียงของเจ้าของภาษา
และได้เรียนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการพูดทั่ว ๆ ไป ต่างจากการดูหนังหรือฟังเพลงภาษาอังกฤษ เพราะอาจจะมีการใช้คำยาก ๆ
ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีพื้นบานมากพอ
แทนที่จะได้ฝึกการฟังกลับต้องมาเปิด
Dictionary ตีความหมายแทน เคล็ดลับในการฟังให้ได้ผลคือ “ฟังอย่างเข้าใจ และฟังอย่างต่อเนื่อง” เข้าใจคือเลือกฟังอะไรที่ง่ายไม่ยากเกินไป เช่น
ข่าวภาษอังกฤษที่ทั้งยากและเร็ว
ฟังกี่ครั้งก็ไม่เข้าใจ
ฟังมากแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยอะไร
ดังนั้นเลือกง่าย ๆ เข้าไว้แล้วค่อยพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ
ดีกว่าฟังอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเริ่มจากการฟังแล้ว
ประการต่อมาคือ
3. ฟังแล้วตอบ
การฟังเพื่อให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพและสามารถโต้ตอบได้ ไม่ใช่ฟังซ้ำ ๆ หลาย ๆครั้ง เพื่อให้จำเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการ
“ฟังและตอบคำถาม”
ในขั้นตอนแรกของการฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ดี
นั่นคือ
การฟังจากบทสนทนาภาษอังกฤษง่าย ๆ เมื่อเราฟังแล้วลอง “Pause” ในช่วงของคำถาม แล้วฝึกตอบ
จากคำถามที่เราฟัง
ฝึกเร็วขึ้นโดยไม่ต้องคิด
ภาษาอังกฤษก็จะกลายเป็นระบบอัตโนมัติไปโดยปริยาย หรือลงฝึกด้วยการมีติวเตอร์มาช่วยเล่าเรื่อง เริ่มจากง่าย ๆ ก่อน
เมื่อเล่าจบให้เขาลองถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ให้ฟัง จะทำให้เราคิดคำตอบได้รวดเร็ว ประการต่อมาคือ
4. เรียนรู้เป็นภาพ ไม่ใช่ตัวอักษร ก่อนที่จะพูดภาษาอังกฤษได้ ต้องมีการซ้อมการเตรียมความพร้อม ต้องถามตัวเองก่อนว่ามีคลังศัพท์มากพอหรือยัง
เหตุผลที่ทำให้เราไม่สามารถสื่อสารหรือพูดภาษาอังกฤษได้นั้น เพราเราไม่รู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ไม่รู้ว่าจะตอบชาวต่างชาติได้อย่างไร
ท่องจำกันตั้งแต่เด็กจนโตก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ถึงเวลาจริงก็นึกไม่ออก ไม่รู้จะหยิบคำไหนนำมาใช้ ดังนั้นต่อไปนี้เราต้องมาเรียนรู้และจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษในรูปแบบใหม่ เลิกท่องคำศัพท์ ถ้าอยากพูดภาษาอังกฤษได้ ต้องเลิกท่องคำศัพท์นั้นเป็นคำ ๆ ท่อง 1,000 คำ
ก็จำไม่ได้
ลองหันมาใช้วิธีการเรียนคำศัพท์เป็นภาพและเรื่องราวแทน การจดจำคำศัพท์เป็นลิสต์ยาวๆพร้อมคำแปล ลองเปลี่ยนมาเป็นการเรียนรู้คำศัพท์เป็นวลี ไม่จำเป็นต้องทั้งประโยค ประการต่อมาคือ
5. หยุดท่องหลักไวยากรณ์ เด็กไทยส่วนใหญ่เริ่มเรียนภาอังกฤษมาพร้อม ๆ
กับการเริ่มท่องกฏไวยากรณ์ ท่องไปเรื่อย ๆ
ถ้าเริ่มต้นด้วยวิธีท่องหลักไวยากรณ์ 60% จะคุยกับฝรั่งไม่ได้เลยอีก 30%
จะแค่พอพูดได้แบบตะกุกตะกัก
ซึ่งมีเพียง 10%
เท่านั้นที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว สำเนียงเป๊ะ
เด็กอเมริกันแท้ ๆ ไม่เคยต้องเรียน
Grammar จนกระทั่งถึงมัธยม
ถ้าจะฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ได้ต้องหยุดท่องหลักไวยากรณ์ เพราะนั่นเป็นวิธีที่ผิด เด็ก ๆ
ชาวต่างชาติจะพูดภาษาอังกฤษจากการเรียนรู้เองโดยธรรมชาติจากการฟัง สังเกตและเลียนเสียงพูดจนคล่อง ก่อนจะเริ่มเรียนหลักไวยากรณ์ ประการต่อมาคือ
6. เรียนรู้แบบซ้ำ ๆ แต่ลึกซึ้ง การเรียนรู้ทุกคำ ทุกวลีอย่างลึก ( Deeply ) ไม่ใช่แค่เรียนรู้ความหมาย ไม่ใช่แค่จำไปทำข้อสอบ
แต่จะต้องเรียนรู้อย่างลึกซึ้งลึกลงไปในสมอง การพูดภาษาให้ได้ง่ายต้องทำซ้ำ ๆ หลาย
ๆครั้ง
ในแต่ละบทเรียนในการพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง
ประการต่อมาคือ
7. อย่าแปลเป็นภาษาไทย คนไทยส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แม้อาจจะฟังออกก็ตาม นั่นก็คือ
การแปลประโยคต่าง ๆ เป็นภาษาไทยก่อนตอบ
ซึ่งการพูดได้อย่างเป็นอัตโนมัติ
คือ ฟัง คิด
พูด ควรจะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด โดยไม่มีการแปลเป็นไทยในหัว
เพราะฉะนั้นเราควรแปลเป็นไทยให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งคนไทยจะเป็นระบบที่ฟังภาษาอังกฤษเข้าหูก็แปลเป็นไทย
คิดคำตอบภาษาไทยแล้วแปลตอบออกไปเป็นภาษาอังกฤษอีกที ซึ่งกว่าจะได้คำตอบมาต้องผ่านหลายขั้นตอน ผลก็คือพูดแบบตะกุกตะกักไม่เป็นธรรมชาติ วิธีการเรียนที่ถูกต้องก็คือ
ต้องพยายามแปลให้น้อยที่สุดหรือไม่แปลเลยยิ่งดี เน้นเข้าใจความหมายเป็นภาพของมันจริง ๆ ประการต่อมาคือ
8. เรียนรู้ที่จะคิดให้เป็นภาษาอังกฤษ
หนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราพูดภาษาอังกฤษได้ คือ
การคิดให้เป็นภาษาอังกฤษ
อีกหนึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้และจะทำให้เราพูดได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องอายถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมา โดยเราสามารถทำตามกระบวนการและขั้นตอนได้ดังนี้
Level 1 : คิดคำศัพท์ภาษาอังกฤษในแต่ละวันของเรา
เมื่อตื่นมาในตอนเช้าให้คิดคำศัพท์ขึ้นมา 1
ชุด เช่น bed, toothbrush,
bathroom, eat, banana
หรือถ้ากำลังทำงานอยู่ก็คิดถึงคำศัพท์ขึ้นมาอีก 1
ชุด เช่น car,
job, company, desk,
colleague, boss
Level 2 : ลองเอาคำศัพท์มาแต่งให้เป็นประโยค
· I’m eating
a sandwich.
· This
restaurant is very
good.
Level 3 : สุดท้ายจินตนาการประโยคภาษาอังกฤษทั้งให้เป็นเรื่องราวในหัวของเรา โดยให้คิดเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เช่น
ขณะที่เราออกกำลังกายให้ลองนึกภาพบรรยายเหตุการณ์ต่าง ๆ
บอกเรื่องราวในหัวเราให้เป็นภาษาอังกฤษ
ลองนึกคิดยังไม่ได้พูดจริง ๆ
ประการต่อมาคือ
9. พูดด้วยคำศัพท์ที่แตกต่าง ดูดีมีความคิดสร้างสรรค์ 2
อุปสรรคใหญ่ที่ทำให้การพูดภาอังกฤษไม่คล่องแคล่วไม่มั่นใจก็คือ “ไม่รู้ศัพท์และการหยุดหรือลังเล” ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มักมาพร้อมกันเสมอ หลายครั้งที่เรานึกคำศัพท์ไม่ออก
มันเป็นอุปสรรค์ที่ทำให้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เพราะมัวแต่คิดถึงคำศัพท์ที่เคยท่อง ลองเปลี่ยนนึกไม่ออกจะเป็นไร ลองหาคำอื่นมาอธิบายขยายความและประการสุดท้ายที่ทำให้เราเก่งควรพูดภาษาอังกฤษ ประการต่อมาคือ
10.
ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เต็มไปด้วยภาอังกฤษ ถือเป็นการฝึกฝนไปในตัว แต่ถ้าจะให้ง่ายและรวดเร็วก็คือ “พยายามหาเพื่อนที่เป็นชาวต่างชาติ”
นอกจากจะได้เพื่อนแล้วเรายังได้ฝึกภาษาอีกด้วย ที่สำคัญเพื่อนแต่งชาติช่วยเราแก้ไขคำผิด ทั้งศัพท์และรูปประโยคหลักไวยากรณ์ต่าง ๆ
ฉะนั้นแล้วอยากพูดภาษาอังกฤษให้เก่งต้องหัดพูด หากมีโอกาสได้พูดก็ควรรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ ควรสร้างความกล้า ความมั่นใจ
ถูกผิดไม่เป็นไร
และใช้ความผิดพลาดมาแก้ไขเราให้ดีขึ้น
เราไม่ต้องไปกังวลในเรื่องแกรมม่าให้มากเกินไป เพราะเราต้องการสื่อสารให้ได้ สื่อสารโดยเน้นการพูดภาษาอังกฤษบ่อยๆ ใช้ภาษาอังกฤษให้สม่ำเสมอและฝึกฝนจากสื่อต่าง ๆ
ที่มีอยู่มากมาย โดยที่ใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ควบคู่กับพัฒนาตัวเองในแต่ละขั้น เพื่อทำให้ตัวเองพูดภาษาอังกฤษได้ สามารถโต้ตอบกับชาวต่างชาติได้ เมื่อฝึกบ่อย ๆ เราก็พัฒนาตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว ณ
ตอนดิฉันได้ฝึกตนเองในเรื่องของการพูดโดยฝึกฟังเยอะ ๆ
เรียนรู้จากภาพเพราะมันจะจำง่ายกว่า และในบางครั้งก็เริ่มพูดเป็นประโยคเป็นภาษาอังกฤษกับเพื่อน
ๆ แต่ก็ได้พัฒนาตัวเองได้นิดเดียว เพราะไม่ได้ฝึกฝน ข้าพเจ้าก็ฝึกฝนต่อไปเรื่อย ๆ ให้รู้ไปว่ามันจะทำไม่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น