วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พัฒนาการพูด ENGLISH



Learning  log  6  ( นอกห้องเรียน)

                ภาษาที่คนทั้งโลกยอมรับให้เป็นภาษากลางเพื่อจะใช้ในการสื่อสารให้เข้าใจตรงกันนั้น  ปัจจุบัน  คือ  ภาษาอังกฤษ  ซึ่งเป็นภาษาที่สองที่คนไทยเราร่ำเรียนกันมานานแล้ว  ตั้งแต่ข้าพเจ้าจำได้  ภาษาอังกฤษเริ่มเข้ามามีบทบาทกับคนไทยตั้งแต่เราเรียนกันในระดับอนุบาลแล้ว  แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นที่สงสัยกันมาตลอดก็คือ  ทำไมคนไทยพูดภาษาอังกฤษแทบจะไม่ได้  ?  ทั้ง ๆ ที่เราร่ำเรียนกันตั้งแต่วัยเยาว์  และส่วนใหญ่ก็จะมีเหตุผลที่คล้ายกัน  เหตุผลประการแรก  คือ  โรงเรียนส่วนใหญ่จะมีการสื่อสารแบบเดียว  โดยที่ครูจะทำหน้าที่สื่อสาร  ส่วนนักเรียนรับสารอย่างเดียว  โดยไม่มีโอกาสได้โต้ตอบกลับไป  ทำให้นักเรียนกลายเป็นคนขี้อาย  ไม่คุ้ยเคยและไม่มีความมั่นใจในการพูดในห้องเรียนหรือเหตุการณ์เฉพาะหน้าต่าง ๆ
                ในเมื่อตอนเรียนหนังสือไม่ค่อยมีโอกาสได้สื่อสารและแสดงความคิดเห็นของตัวเอง  พอโตขึ้นมาจึงชินกับการไม่ค่อยกล้า  ไม่มั่นใจ  การไม่ได้ฝึกสื่อสารให้มาก ๆ ในโรงเรียน  และครูไม่ให้โอกาสเด็กได้พูด  มีผลต่อการสื่อสารภาษาอังกฤษของเด็กไทยด้วย  เหตุผลประการที่  2  คือ  การกลัว  กลัวเสียหน้า  เสียชื่อ  ไม่มั่นใจในความคิดและฝีมือของตนเอง  การคิดแบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องผิด  แต่ถ้าเรายังคิดกลัวเสียหน้าเสียงต่าง ๆ นานาจริง ๆ สิ่งที่เราจะเสียไป  คือ  ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ  และเสียโอกาสได้รับจากประสบการณ์ชีวิต  ดังนั้น  ถ้าเรายังอาย  ไม่มั่นใจ  และไม่เคยชินกับการสื่อสารกับคนทั่วไปไม่ว่าจะสถานการณ์ใดก็ตาม  การกลัวก็จะเกิดขึ้นเพราะเรากลัวว่าสิ่งที่พูดไปจะออกมาไม่ดี  ไม่ถูกต้อง  กลัวหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ  เราเลยเลือกที่จะไม่พูดซะดีกว่า
                แต่มันคือความคิดที่ผิด  ตรงกับสำนวนอังกฤษที่บอกว่า  The  wrong  answer  better  than  no  answer,  practice  make  perfect  คำตอบที่ผิดดีกว่าไม่มีคำตอบ  เพราะอย่างน้อยมันแสดงให้เห็นว่าเราไม่ใช่คนโง่ที่ไม่มีความคิด  เราไม่ใช่คนใบ้ทั้งที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม้แต่น้อย  แต่เราก็มีความพยายาม  การที่เราพูดออกไปมีแต่ได้กับได้  ส่วนเสียมีแต่น้อย  เพราะเราได้แสดงถึงความพยายามที่จะพูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนไทย  อยู่ในประเทศมาตั้งแต่เกิด  การเรียนรู้ที่ดีที่สุด  คือ  การเรียนรู้จากประสบการณ์และความผิดพลาดจากตัวเราเอง  เมื่อไรที่เรารู้สึกกลัว  ขอให้เรามีความกล้า  ยิ่งกลัวต้องยิ่งบอกตัวเองว่าต้องกล้าทำ
                เหตุผลข้อที่  3  คือ  เราชอบคิดมากเกี่ยวกับกฎ  กติกา  มารยาทของภาษา  Grammar  เยอะเกินไป  กลัวจะเสียหน้าถ้าพูดผิด  เลยอยากให้แน่ใจว่าตัวเองพูดถูกต้องตามที่เคยถูกปลูกฝังที่มักจะเน้นหนักในเรื่องไวยากรณ์และความถูกต้องของประโยค  จนลืมนึกถึงการสื่อสารที่ลื่นไหลตามธรรมชาติ  เราถูกสอนให้ใช้ภาษาอังกฤษให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์เท่านั้นจะได้เอาไปสอบทำคะแนนได้ดี ๆ กังวลกับไวยากรณ์จนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้  ซึ่งจริง ๆ แล้วไวยากรณ์นั้นไม่ได้เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น
                เหตุผลข้อดี  คือ  การเคร่งเครียดกับการเรียนมากเกินไป  ทำให้เราหมดความพยายามและคิดว่ามันยากน่าเบื่อ  เราคิดว่าต้องเรียนภาษาอังกฤษก็เพื่อการงานและการเรียนที่ดีขึ้น  และเอาไว้สื่อสารกับชาวต่างชาติ  แต่ถ้าเราต้องการเอาชนะภาษาอังกฤษเราต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ก่อน  เพราะความอาย  ความไม่มั่นใจ  ความกลัว  การคิดมาก  ความขี้เกียจ  ความเบื่อหน่าย  ไม่มีความสุข  ความเครียด  การกลัวเสียหน้า  และการไม่ชอบภาษาอังกฤษล้วนจากตัวเราที่คิดขึ้นเองและสิ่งเหล่านี้จะยับยั้งความสำเร็จของเราในการเอาชนะภาษาอังกฤษได้  เพราะฉะนั้นอยากพูดภาษาอังกฤษให้เก่งต้องหัดพูดเริ่มจาก
                1.  อย่ากลัวความผิดพลาดและความกังวลกับหลักไวยากรณ์มากเกินไป  ปัญหาใหญ่สำหรับคนที่กำลังหัดพูดภาษาอังกฤษที่ฝรั่งมักจะเรียกว่าเป็นอาการ  “mental  blocks”  คือ  มีบางสิ่งในจิตใจที่ขัดขวางทำให้ไม่สามารถเข้าใจหรือทำอะไรบางอย่างได้  กลัวว่าจะพูดผิด  อายพูดภาษาอังกฤษได้ไม่สมบูรณ์และไม่ถูกเป๊ะ ๆ ตามหลักไวยากรณ์ที่ท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง  ความกังวลเหล่านี้จะทำให้รู้สึกอึดอัดและพูดไม่ได้สักที  ควรพึงจำไว้ว่า  การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าความสมบูรณ์แบบ  เช่น  Yesterday  I  go  to  party  in  beach.  ซึ่งมันผิดหลักไวยากรณ์  ที่ถูกคือ  “Yesterday  I  went  to  a  party  on  the  beach.  แต่ทั้งสองประโยคกลับสื่อสารได้ความเดียวกันว่า  “เมื่อวานฉันไปปาร์ตี้ที่ชายหาดมา”  ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งร้ายแรง  ก็แค่ลองใหม่แก้ไขไปเรื่อย ๆ ประการต่อมาคือ
                2.  เริ่มต้นจากการฟัง  อยากพูดภาษาอังกฤษให้คล่องเราต้องเริ่มฟังกันก่อน  ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนาภาษาอังกฤษหรือจะดูหนัง  ฟังเพลง  เลือกที่เราชอบ  สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลยควรเริ่มจากการฟังบทสนทนาง่าย ๆ ก่อน  จะช่วยให้เราคุ้นเคยกับสำเนียงของเจ้าของภาษา  และได้เรียนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการพูดทั่ว ๆ ไป  ต่างจากการดูหนังหรือฟังเพลงภาษาอังกฤษ  เพราะอาจจะมีการใช้คำยาก ๆ ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีพื้นบานมากพอ  แทนที่จะได้ฝึกการฟังกลับต้องมาเปิด  Dictionary  ตีความหมายแทน  เคล็ดลับในการฟังให้ได้ผลคือ  “ฟังอย่างเข้าใจ  และฟังอย่างต่อเนื่อง”  เข้าใจคือเลือกฟังอะไรที่ง่ายไม่ยากเกินไป  เช่น  ข่าวภาษอังกฤษที่ทั้งยากและเร็ว  ฟังกี่ครั้งก็ไม่เข้าใจ  ฟังมากแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยอะไร  ดังนั้นเลือกง่าย ๆ เข้าไว้แล้วค่อยพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ ดีกว่าฟังอย่างต่อเนื่อง  เมื่อเริ่มจากการฟังแล้ว  ประการต่อมาคือ
                3.  ฟังแล้วตอบ  การฟังเพื่อให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพและสามารถโต้ตอบได้  ไม่ใช่ฟังซ้ำ ๆ หลาย ๆครั้ง  เพื่อให้จำเพียงอย่างเดียว  แต่เป็นการ  “ฟังและตอบคำถาม”  ในขั้นตอนแรกของการฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ดี  นั่นคือ  การฟังจากบทสนทนาภาษอังกฤษง่าย ๆ เมื่อเราฟังแล้วลอง “Pause”  ในช่วงของคำถาม  แล้วฝึกตอบ  จากคำถามที่เราฟัง  ฝึกเร็วขึ้นโดยไม่ต้องคิด  ภาษาอังกฤษก็จะกลายเป็นระบบอัตโนมัติไปโดยปริยาย  หรือลงฝึกด้วยการมีติวเตอร์มาช่วยเล่าเรื่อง  เริ่มจากง่าย ๆ ก่อน  เมื่อเล่าจบให้เขาลองถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ให้ฟัง  จะทำให้เราคิดคำตอบได้รวดเร็ว  ประการต่อมาคือ
                4.  เรียนรู้เป็นภาพ  ไม่ใช่ตัวอักษร  ก่อนที่จะพูดภาษาอังกฤษได้  ต้องมีการซ้อมการเตรียมความพร้อม  ต้องถามตัวเองก่อนว่ามีคลังศัพท์มากพอหรือยัง  เหตุผลที่ทำให้เราไม่สามารถสื่อสารหรือพูดภาษาอังกฤษได้นั้น  เพราเราไม่รู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ  ไม่รู้ว่าจะตอบชาวต่างชาติได้อย่างไร  ท่องจำกันตั้งแต่เด็กจนโตก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง  ถึงเวลาจริงก็นึกไม่ออก  ไม่รู้จะหยิบคำไหนนำมาใช้  ดังนั้นต่อไปนี้เราต้องมาเรียนรู้และจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษในรูปแบบใหม่  เลิกท่องคำศัพท์  ถ้าอยากพูดภาษาอังกฤษได้  ต้องเลิกท่องคำศัพท์นั้นเป็นคำ ๆ ท่อง  1,000  คำ  ก็จำไม่ได้  ลองหันมาใช้วิธีการเรียนคำศัพท์เป็นภาพและเรื่องราวแทน  การจดจำคำศัพท์เป็นลิสต์ยาวๆพร้อมคำแปล  ลองเปลี่ยนมาเป็นการเรียนรู้คำศัพท์เป็นวลี                   ไม่จำเป็นต้องทั้งประโยค ประการต่อมาคือ
                5.  หยุดท่องหลักไวยากรณ์  เด็กไทยส่วนใหญ่เริ่มเรียนภาอังกฤษมาพร้อม ๆ กับการเริ่มท่องกฏไวยากรณ์  ท่องไปเรื่อย ๆ ถ้าเริ่มต้นด้วยวิธีท่องหลักไวยากรณ์  60จะคุยกับฝรั่งไม่ได้เลยอีก  30จะแค่พอพูดได้แบบตะกุกตะกัก  ซึ่งมีเพียง  10%  เท่านั้นที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว  สำเนียงเป๊ะ  เด็กอเมริกันแท้ ๆ ไม่เคยต้องเรียน  Grammar  จนกระทั่งถึงมัธยม  ถ้าจะฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ได้ต้องหยุดท่องหลักไวยากรณ์  เพราะนั่นเป็นวิธีที่ผิด  เด็ก ๆ ชาวต่างชาติจะพูดภาษาอังกฤษจากการเรียนรู้เองโดยธรรมชาติจากการฟัง  สังเกตและเลียนเสียงพูดจนคล่อง  ก่อนจะเริ่มเรียนหลักไวยากรณ์  ประการต่อมาคือ
                6.  เรียนรู้แบบซ้ำ ๆ แต่ลึกซึ้ง  การเรียนรู้ทุกคำ  ทุกวลีอย่างลึก  ( Deeply )  ไม่ใช่แค่เรียนรู้ความหมาย  ไม่ใช่แค่จำไปทำข้อสอบ  แต่จะต้องเรียนรู้อย่างลึกซึ้งลึกลงไปในสมอง  การพูดภาษาให้ได้ง่ายต้องทำซ้ำ ๆ หลาย ๆครั้ง  ในแต่ละบทเรียนในการพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง  ประการต่อมาคือ
                7.  อย่าแปลเป็นภาษาไทย  คนไทยส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้  แม้อาจจะฟังออกก็ตาม  นั่นก็คือ  การแปลประโยคต่าง ๆ เป็นภาษาไทยก่อนตอบ  ซึ่งการพูดได้อย่างเป็นอัตโนมัติ  คือ  ฟัง  คิด  พูด  ควรจะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด  โดยไม่มีการแปลเป็นไทยในหัว  เพราะฉะนั้นเราควรแปลเป็นไทยให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  ซึ่งคนไทยจะเป็นระบบที่ฟังภาษาอังกฤษเข้าหูก็แปลเป็นไทย  คิดคำตอบภาษาไทยแล้วแปลตอบออกไปเป็นภาษาอังกฤษอีกที  ซึ่งกว่าจะได้คำตอบมาต้องผ่านหลายขั้นตอน  ผลก็คือพูดแบบตะกุกตะกักไม่เป็นธรรมชาติ  วิธีการเรียนที่ถูกต้องก็คือ  ต้องพยายามแปลให้น้อยที่สุดหรือไม่แปลเลยยิ่งดี  เน้นเข้าใจความหมายเป็นภาพของมันจริง ๆ  ประการต่อมาคือ
                8.  เรียนรู้ที่จะคิดให้เป็นภาษาอังกฤษ  หนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราพูดภาษาอังกฤษได้  คือ  การคิดให้เป็นภาษาอังกฤษ  อีกหนึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้และจะทำให้เราพูดได้อย่างง่ายดาย  ไม่ต้องอายถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมา  โดยเราสามารถทำตามกระบวนการและขั้นตอนได้ดังนี้
Level  1  :  คิดคำศัพท์ภาษาอังกฤษในแต่ละวันของเรา
เมื่อตื่นมาในตอนเช้าให้คิดคำศัพท์ขึ้นมา  1  ชุด  เช่น  bed,  toothbrush,  bathroom,  eat,  banana  หรือถ้ากำลังทำงานอยู่ก็คิดถึงคำศัพท์ขึ้นมาอีก  1  ชุด  เช่น  car,  job,  company,  desk,  colleague,  boss 
Level  2  :  ลองเอาคำศัพท์มาแต่งให้เป็นประโยค
·       I’m  eating  a  sandwich. 
·         This  restaurant  is  very  good.
Level  3  :  สุดท้ายจินตนาการประโยคภาษาอังกฤษทั้งให้เป็นเรื่องราวในหัวของเรา  โดยให้คิดเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด  เช่น  ขณะที่เราออกกำลังกายให้ลองนึกภาพบรรยายเหตุการณ์ต่าง ๆ บอกเรื่องราวในหัวเราให้เป็นภาษาอังกฤษ  ลองนึกคิดยังไม่ได้พูดจริง ๆ  ประการต่อมาคือ
                9.  พูดด้วยคำศัพท์ที่แตกต่าง  ดูดีมีความคิดสร้างสรรค์  2  อุปสรรคใหญ่ที่ทำให้การพูดภาอังกฤษไม่คล่องแคล่วไม่มั่นใจก็คือ  “ไม่รู้ศัพท์และการหยุดหรือลังเล”  ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มักมาพร้อมกันเสมอ  หลายครั้งที่เรานึกคำศัพท์ไม่ออก  มันเป็นอุปสรรค์ที่ทำให้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้  เพราะมัวแต่คิดถึงคำศัพท์ที่เคยท่อง  ลองเปลี่ยนนึกไม่ออกจะเป็นไร  ลองหาคำอื่นมาอธิบายขยายความและประการสุดท้ายที่ทำให้เราเก่งควรพูดภาษาอังกฤษ  ประการต่อมาคือ
                10.  ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  เปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เต็มไปด้วยภาอังกฤษ  ถือเป็นการฝึกฝนไปในตัว  แต่ถ้าจะให้ง่ายและรวดเร็วก็คือ  “พยายามหาเพื่อนที่เป็นชาวต่างชาติ”  นอกจากจะได้เพื่อนแล้วเรายังได้ฝึกภาษาอีกด้วย  ที่สำคัญเพื่อนแต่งชาติช่วยเราแก้ไขคำผิด  ทั้งศัพท์และรูปประโยคหลักไวยากรณ์ต่าง ๆ
                ฉะนั้นแล้วอยากพูดภาษาอังกฤษให้เก่งต้องหัดพูด  หากมีโอกาสได้พูดก็ควรรีบคว้าโอกาสนั้นไว้  ควรสร้างความกล้า  ความมั่นใจ  ถูกผิดไม่เป็นไร  และใช้ความผิดพลาดมาแก้ไขเราให้ดีขึ้น  เราไม่ต้องไปกังวลในเรื่องแกรมม่าให้มากเกินไป  เพราะเราต้องการสื่อสารให้ได้  สื่อสารโดยเน้นการพูดภาษาอังกฤษบ่อยๆ  ใช้ภาษาอังกฤษให้สม่ำเสมอและฝึกฝนจากสื่อต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมาย  โดยที่ใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ควบคู่กับพัฒนาตัวเองในแต่ละขั้น  เพื่อทำให้ตัวเองพูดภาษาอังกฤษได้  สามารถโต้ตอบกับชาวต่างชาติได้  เมื่อฝึกบ่อย ๆ เราก็พัฒนาตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว  ณ  ตอนดิฉันได้ฝึกตนเองในเรื่องของการพูดโดยฝึกฟังเยอะ ๆ เรียนรู้จากภาพเพราะมันจะจำง่ายกว่า  และในบางครั้งก็เริ่มพูดเป็นประโยคเป็นภาษาอังกฤษกับเพื่อน ๆ  แต่ก็ได้พัฒนาตัวเองได้นิดเดียว  เพราะไม่ได้ฝึกฝน  ข้าพเจ้าก็ฝึกฝนต่อไปเรื่อย ๆ ให้รู้ไปว่ามันจะทำไม่ได้







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น