Learning log 7
in Class
Grammar คือสิ่งสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษ
หากเราจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ดี เราจะต้องรู้จักกฎระเบียบของ “แกรมมาร์” การเรียนหลักไวยากรณ์เป็นสิ่งสำคัญ เป็นหัวใจของภาษาอังกฤษ ซึ่งในวันนี้จะกล่าวถึง Conditional Sentence
หรือ IF –
Clause คือ ประโยคเงื่อนไขนั่นเอง
ประโยคเงื่อนไข ( Conditional Sentence )
หรือ IF –
Clause หมายถึงประโยคที่แสดงหรือกำหนดเงื่อนไขหรือประโยคที่มีการคาดคะเนว่า
ถ้ามีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นก็จะมีอีกเหตุการณ์หนึ่งตามมาในประโยคเงื่อนไข ( IF – Clause ) จะมีส่วนประกอบ 2 ส่วน
คือ 1. ส่วนที่แสดงเงื่อนไข ( IF – Clause ) และส่วนที่ 2.
คือส่วนที่เป็นหัวข้อหลัก
( Main – Clause ) ประโยค IF – Clause ก็คือเงื่อนไข คือ
ถ้าทำอย่านั้นแล้วผลจะเป็นอย่างนี้
ประโยค IF – Clause ที่เรียนมา หรือที่ควรรู้จักมีอยู่ 3 แบบด้วยกัน
เกณฑ์ในการแบ่งก็ตามเงื่อนไขและเวลา
แต่ก่อนที่จะไปดูว่า 3 แบบนี้มีอะไรบ้าง เรามาลองทำความรู้จักกับหน้าตาของประโยค IF – Clause กันก่อน ประโยค
IF – Clause ประกอบด้วย 2 ส่วนดังที่บอกไปแล้ว คือส่วนที่มี
If หรือประโยคที่เป็นเหตุ และอีกส่วนคือประโยคที่เป็นผล เช่น If my
son passes his
exam , I will buy
him a guitar.
ประโยคที่หนึ่ง If คือประโยคเหตุ “ถ้าลูกชายสอบผ่าน” ส่วนที่สองคือประโยคผล “ฉันซื้อกีตาร์ให้ลูก” นี่คือเงื่อนไขที่ผู้พูดสร้างไว้
สองส่วนนี้สามารถสลับตำแหน่งกันได้ แต่ถ้า
If อยู่ด้านหน้าจะต้องมีเครื่องหมายคอมมา ( , )
คั่นตรงกลาง
แต่ถ้าเอาส่วนที่เป็นผลขึ้นก่อน (
คือส่วนที่ไม่มี If ) ก็ไม่ต้องใส่คอมมา เช่น I will
buy him a
guitar if my
son passes his
exam.
1.
ประโยค IF –
Clause แบบที่ 1 คือ
ประโยคเงื่อนไขที่อาจเป็นไปได้ในปัจจุบัน
เวลาพูด IF – Clause แบบที่ 1 นี้
ส่วนใหญ่โอกาสจะเป็นไปได้สูง
เงื่อนไขเวลาคือปัจจุบัน
ดังนั้น Tense ที่มาเกี่ยวข้องก็หนีไม่พ้น Present Simple
Tense แน่นอน เพราะมันเป็น
Tense ที่บอกข้อเท็จจริง Present Simple
จะไปใช้ในประโยคที่มี
if หรือประโยคเหตุ ส่วนประโยคผลเราจะใช้ Future
Simple โครงสร้างคือ If + Present Simple , subject + will + V.1 เช่น
• If
I finish my
work before 6
o’clock , I will pick
you up.
ถ้าฉันทำงานเสร็จก่อน 6 โมง
ฉันจะไปรับ
• What
will you do
it she refuses
your proposal ?
คุณจะทำอย่างไรถ้าเธอปฏิเสธการขอแต่งงาน
* ในส่วนของประโยคที่ if
อาจจะใช้ present tense อื่น ๆ ก็ได้ เช่น present continuous
ตามแต่สถานการณ์ เช่น If
you’re trying to
be normal , you
will never know
how amazing you
can be. ต่อมาประโยคเงื่อนไขแบบที่ 2 คือ
2.
ประโยคเงื่อนไขแบบที่
2 คือ ประโยคเงื่อนไขที่เป็นไปได้ยาก พูดง่าย ๆ
คือสิ่งที่เราสมมติหรือมโนขึ้นมาเอง
เช่น ถ้าฉันเป็นเธอ หรือ
ถ้าฉันเป็นนก
หรือถ้าฉันมีเงินพันล้าน
อะไรประมาณนี้
ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้หรือเป็นไปได้ยากมาก ๆ ก็เข้าข่ายแบบที่ 2 นี้เลย
ส่วน Tense ที่จะใช้ใน IF – Clause แบบที่ 2 นี้ก็คือ
Past Simple ที่ใช้ tense
ที่เป็นอดีต
เพราะเหตุการณ์นี่เราพูดในปัจจุบันแทนที่จะเป็น Present Simple
แต่มันดันเป็นความจริงในปัจจุบันที่เป็นไปไม่ได้ ก็เลยทำให้ความจริงผิดเพี้ยนไป จึงใช้
Past Simple แทน
เพื่อแสดงให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่เพี้ยนไปจากความเป็นจริงนั่นเอง โครงสร้างของ
IF – Clause แบบที่
2 คือ If
+ Past Simple , subject + would + V.1 เช่น
• If
had a private
jet , I would go
to Switzerland.
ถ้าฉันมีเครื่องบินส่วนตัว ฉันจะไปสวิตเซอร์แลนด์
• If
you were the
Prime Minister , What would
you change about
this county ?
ถ้าคุณเป็นนายกรัฐมนตรี คุณจะเปลี่ยนอะไรในประเทศนี้
* มีข้อยกเว้นนิดตรงที่ ถ้าหากประธานเป็น I , she , he กริยาที่เคยใช้ I
was , She was , He was ก็จะเปลี่ยนเป็น I were , She
were , He were นะ เฉพาะในประโยคเงื่อนไขเท่านั้น ( จำง่าย ๆ
ว่า ไหน ๆ มันก็เป็นเรื่องสมมติแล้ว เราก็สมมติให้
were ใช้กับ I , she , he ได้ก็แล้วกัน
เพื่อแสดงว่าสิ่งที่พูดมันตรงข้ามกับความเป็นจริง ) If
Leon’s mother were
alive , She would still
be a professor
in Oxford University.
และต่อมาประโยคเงื่อนไขอันสุดท้าย แบบที่
3 คือ
3.
IF – Clause แบบที่ 3 นี้คือ
ประโยคเงื่อนไขที่แสดงความเป็นไปไม่ได้ในอดีต
หรือเป็นการสมมติเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น
หรือถ้ามันก็เกิดขึ้นก็ให้สมมติว่ามันไม่เกิดขึ้น Tense
ที่เราจะใช้ Past Perfect
Tense โครงสร้างหน้าตาคือ If + Past Perfect , Subject + would have + V.3 เช่น
• If
I had set
my alarm clock , L
wouldn’t have got
up late.
• I
and Jack wouldn’t
have known each
other if the
hadn’t been my
brother’s friend.
* วิธีการจำว่า IF – Clause แต่ละแบบใช้ Tense
อะไรให้เรานึกถึงหลักความเป็นจริงคือ แบบที่
1
เป็นไปได้ในปัจจุบันใช้ Present Simple
ธรรมดา
แต่แบบที่ 2 และ 3 เป็นแบบมโนขึ้นมา นั้นเราจะถอย
Tense ไปหนึ่ง Tense
เพื่อแสดงว่ามันเป็นมโนหรือสมมติ คือแบบที่
2
เป็นไปไม่ได้ในปัจจุบันหรือเป็นไปได้ยาก
จาก Present จะเปลี่ยนเป็น Past
Simple และแบบที่ 3 เป็นไปไม่ได้ในอดีต จากคำว่าอดีตควรจะเป็น Past
Simple เราก็ถอยไปเป็น Past
Perfect
ประโยคแบบ Conditional คือประโยคที่มีเงื่อนไขหรือสมมติเหตุการณ์ที่อาจขึ้นจริงตามนั้นเป็นไปได้ยาก หรือไม่มีทางเป็นไปได้ จำง่าย ๆ
มีอยู่ 3 แบบ 1. Present
seal 2. Present
Unreal และ 3.
Past impossible
และในบางตำรา IF – Clause จะมี 4 แบบ
จะเพิ่มแบบที่มีโครสร้างแบบนี้
ก็คือ If S V1 ,
S V1 เป็นความจริงหรือทางวิทยาศาสตร์ หรือเป็นจริงในชีวิตประจำวัน ยังไงมันก็เป็นจริง ไม่มีสิ่งไหนมาหักล้างได้
ถ้าอุณหภูมิ 100 องศา
น้ำจะเดือด >>> If
it reaches 100◦c , water
bails. เราสามรถย้าย if
มาไว้กลางประโยคได้แต่ต้องตัด Comma ( , ) ทิ้ง Water
bails if it
reaches 100◦c. สังเกตในประโยคที่ว่า น้ำจะเดือด
แต่ทำไมไม่แต่งว่า .... , water
will bails. Grammar
แปลผิดใช้ไม่ได้
ลองไปโครงสร้างมันเป็นแบบความเป็นจริง
และน้ำก็เดือด 100 องศา คือความจริงใช่ไหม ในสูตรจะไม่มี
will
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น