วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Conditional Sentence or IF – Clause


Learning  log  7   in  Class
            Grammar  คือสิ่งสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษ  หากเราจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ดี  เราจะต้องรู้จักกฎระเบียบของ  แกรมมาร์”  การเรียนหลักไวยากรณ์เป็นสิ่งสำคัญ  เป็นหัวใจของภาษาอังกฤษ  ซึ่งในวันนี้จะกล่าวถึง  Conditional  Sentence  หรือ  IF – Clause  คือ  ประโยคเงื่อนไขนั่นเอง
            ประโยคเงื่อนไข  ( Conditional  Sentence )  หรือ  IF – Clause  หมายถึงประโยคที่แสดงหรือกำหนดเงื่อนไขหรือประโยคที่มีการคาดคะเนว่า  ถ้ามีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นก็จะมีอีกเหตุการณ์หนึ่งตามมาในประโยคเงื่อนไข  ( IF – Clause )  จะมีส่วนประกอบ  2  ส่วน  คือ  1.  ส่วนที่แสดงเงื่อนไข  ( IF – Clause )  และส่วนที่  2.  คือส่วนที่เป็นหัวข้อหลัก  ( Main – Clause )  ประโยค  IF – Clause  ก็คือเงื่อนไข  คือ  ถ้าทำอย่านั้นแล้วผลจะเป็นอย่างนี้  ประโยค  IF – Clause  ที่เรียนมา  หรือที่ควรรู้จักมีอยู่  3  แบบด้วยกัน  เกณฑ์ในการแบ่งก็ตามเงื่อนไขและเวลา
            แต่ก่อนที่จะไปดูว่า  3  แบบนี้มีอะไรบ้าง  เรามาลองทำความรู้จักกับหน้าตาของประโยค  IF – Clause  กันก่อน  ประโยค  IF – Clause  ประกอบด้วย  2  ส่วนดังที่บอกไปแล้ว  คือส่วนที่มี  If  หรือประโยคที่เป็นเหตุ  และอีกส่วนคือประโยคที่เป็นผล  เช่น  If  my  son  passes  his  exam , I  will  buy  him  a  guitar.  ประโยคที่หนึ่ง  If  คือประโยคเหตุ  ถ้าลูกชายสอบผ่าน”  ส่วนที่สองคือประโยคผล  ฉันซื้อกีตาร์ให้ลูก”  นี่คือเงื่อนไขที่ผู้พูดสร้างไว้  สองส่วนนี้สามารถสลับตำแหน่งกันได้  แต่ถ้า  If  อยู่ด้านหน้าจะต้องมีเครื่องหมายคอมมา  ( , )  คั่นตรงกลาง  แต่ถ้าเอาส่วนที่เป็นผลขึ้นก่อน  ( คือส่วนที่ไม่มี  If )  ก็ไม่ต้องใส่คอมมา  เช่น  I  will  buy  him  a  guitar  if  my  son  passes  his  exam.
            1.  ประโยค  IF – Clause  แบบที่  1  คือ  ประโยคเงื่อนไขที่อาจเป็นไปได้ในปัจจุบัน  เวลาพูด  IF – Clause  แบบที่  1  นี้  ส่วนใหญ่โอกาสจะเป็นไปได้สูง  เงื่อนไขเวลาคือปัจจุบัน  ดังนั้น  Tense  ที่มาเกี่ยวข้องก็หนีไม่พ้น  Present  Simple  Tense  แน่นอน  เพราะมันเป็น  Tense  ที่บอกข้อเท็จจริง  Present  Simple  จะไปใช้ในประโยคที่มี  if  หรือประโยคเหตุ  ส่วนประโยคผลเราจะใช้  Future  Simple  โครงสร้างคือ  If + Present  Simple , subject + will + V.1  เช่น
•           If  I  finish  my  work  before  6  o’clock , I  will  pick  you  up.
ถ้าฉันทำงานเสร็จก่อน  6  โมง  ฉันจะไปรับ
•           What  will  you  do  it  she  refuses  your  proposal ?
คุณจะทำอย่างไรถ้าเธอปฏิเสธการขอแต่งงาน
ในส่วนของประโยคที่  if  อาจจะใช้  present  tense  อื่น ๆ  ก็ได้  เช่น  present  continuous  ตามแต่สถานการณ์  เช่น  If  you’re  trying  to  be  normal ,  you  will  never  know  how  amazing  you  can  be.  ต่อมาประโยคเงื่อนไขแบบที่  2  คือ
            2.  ประโยคเงื่อนไขแบบที่  2  คือ  ประโยคเงื่อนไขที่เป็นไปได้ยาก  พูดง่าย ๆ  คือสิ่งที่เราสมมติหรือมโนขึ้นมาเอง  เช่น  ถ้าฉันเป็นเธอ  หรือ  ถ้าฉันเป็นนก  หรือถ้าฉันมีเงินพันล้าน  อะไรประมาณนี้  ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้หรือเป็นไปได้ยากมาก ๆ  ก็เข้าข่ายแบบที่  2  นี้เลย  ส่วน  Tense  ที่จะใช้ใน  IF – Clause  แบบที่  2  นี้ก็คือ  Past  Simple  ที่ใช้  tense  ที่เป็นอดีต  เพราะเหตุการณ์นี่เราพูดในปัจจุบันแทนที่จะเป็น  Present  Simple  แต่มันดันเป็นความจริงในปัจจุบันที่เป็นไปไม่ได้  ก็เลยทำให้ความจริงผิดเพี้ยนไป  จึงใช้  Past  Simple  แทน  เพื่อแสดงให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่เพี้ยนไปจากความเป็นจริงนั่นเอง  โครงสร้างของ  IF – Clause  แบบที่  2  คือ  If + Past  Simple , subject + would + V.1  เช่น
•           If  had  a  private  jet , I  would  go  to  Switzerland.
ถ้าฉันมีเครื่องบินส่วนตัว  ฉันจะไปสวิตเซอร์แลนด์
•           If  you  were  the  Prime  Minister , What  would  you  change  about  this  county ?
ถ้าคุณเป็นนายกรัฐมนตรี  คุณจะเปลี่ยนอะไรในประเทศนี้
มีข้อยกเว้นนิดตรงที่  ถ้าหากประธานเป็น  I , she , he  กริยาที่เคยใช้  I  was , She  was , He  was  ก็จะเปลี่ยนเป็น  I  were , She  were , He  were นะ  เฉพาะในประโยคเงื่อนไขเท่านั้น  ( จำง่าย ๆ  ว่า  ไหน ๆ  มันก็เป็นเรื่องสมมติแล้ว  เราก็สมมติให้  were  ใช้กับ  I , she , he  ได้ก็แล้วกัน  เพื่อแสดงว่าสิ่งที่พูดมันตรงข้ามกับความเป็นจริง )  If  Leon’s  mother  were  alive , She  would  still  be  a  professor  in  Oxford  University.  และต่อมาประโยคเงื่อนไขอันสุดท้าย  แบบที่  3  คือ
            3.  IF – Clause  แบบที่  3  นี้คือ  ประโยคเงื่อนไขที่แสดงความเป็นไปไม่ได้ในอดีต  หรือเป็นการสมมติเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น  หรือถ้ามันก็เกิดขึ้นก็ให้สมมติว่ามันไม่เกิดขึ้น  Tense  ที่เราจะใช้  Past  Perfect  Tense  โครงสร้างหน้าตาคือ  If + Past  Perfect , Subject + would  have + V.3  เช่น
•           If  I  had  set  my  alarm  clock , L  wouldn’t  have  got  up  late.
•           I  and  Jack  wouldn’t  have  known  each  other  if  the  hadn’t  been  my  brother’s  friend.
วิธีการจำว่า  IF – Clause  แต่ละแบบใช้  Tense  อะไรให้เรานึกถึงหลักความเป็นจริงคือ  แบบที่   1  เป็นไปได้ในปัจจุบันใช้  Present  Simple  ธรรมดา  แต่แบบที่  2  และ  3  เป็นแบบมโนขึ้นมา  นั้นเราจะถอย  Tense  ไปหนึ่ง  Tense  เพื่อแสดงว่ามันเป็นมโนหรือสมมติ  คือแบบที่  2  เป็นไปไม่ได้ในปัจจุบันหรือเป็นไปได้ยาก  จาก  Present  จะเปลี่ยนเป็น  Past  Simple  และแบบที่  3  เป็นไปไม่ได้ในอดีต  จากคำว่าอดีตควรจะเป็น  Past  Simple  เราก็ถอยไปเป็น  Past  Perfect 
            ประโยคแบบ  Conditional  คือประโยคที่มีเงื่อนไขหรือสมมติเหตุการณ์ที่อาจขึ้นจริงตามนั้นเป็นไปได้ยาก  หรือไม่มีทางเป็นไปได้  จำง่าย ๆ  มีอยู่  3  แบบ  1.  Present  seal  2.  Present  Unreal  และ  3.  Past  impossible
            และในบางตำรา  IF – Clause  จะมี  4  แบบ  จะเพิ่มแบบที่มีโครสร้างแบบนี้  ก็คือ  If  S  V1 , S  V1  เป็นความจริงหรือทางวิทยาศาสตร์  หรือเป็นจริงในชีวิตประจำวัน  ยังไงมันก็เป็นจริง  ไม่มีสิ่งไหนมาหักล้างได้
            ถ้าอุณหภูมิ  100  องศา  น้ำจะเดือด  >>>  If  it  reaches  100◦c , water  bails.  เราสามรถย้าย  if  มาไว้กลางประโยคได้แต่ต้องตัด  Comma ( , )  ทิ้ง  Water  bails  if  it  reaches  100◦c.  สังเกตในประโยคที่ว่า  น้ำจะเดือด  แต่ทำไมไม่แต่งว่า .... , water  will  bails.  Grammar  แปลผิดใช้ไม่ได้  ลองไปโครงสร้างมันเป็นแบบความเป็นจริง  และน้ำก็เดือด  100  องศา  คือความจริงใช่ไหม  ในสูตรจะไม่มี  will





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น